Thursday, May 6, 2010

งานเรือนั้นหนักจริงหรือ ????? [ต่อ]


ครับผมก็ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว จงอย่าเชื่อทุกคำที่ผมพูดผมเพียงแค่อยากจะบอกว่าทุกคำที่ผมพูดมันคือความจริงที่มีอยู่บนเรือในอีกแง่มุมนึงที่คนที่พูดถึงในมุมกลับกันอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นหรือได้สัมผัสด้วยตัวของเขาเอง แต่ว่าทุกสิ่งที่น้าได้พูดไว้ในพื้นที่ตรงนี้น้าเห็นและผ่านมาหมดแล้ว และบางเรื่องราวมันก็เกิดขึ้นกับตัวน้าเอง หรือบางเรื่องราวน้าก็เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยก็มี บทความและเรื่องราวต่างๆ ที่น้าได้เล่าได้ถ่ายทอดให้ฟังมันจึงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงอยู่บนเรือมาจนถึงทุกวันนี้ นี่แหละ แต่ก็อีกน่ะแหละเราจะไปเจอมุมไหนของเรื่องราวก็แค่นั้นเอง มาน้าจะเล่าอีกหนึ่งตัวอย่างให้ฟังจะได้เข้าใจกันง่ายๆ
     มีฝรั่งคนหนึ่งมาเที่ยวเมืองไทย และเขาก็โดน taxi โกงค่ารถ พอไปถึงโรงแรมที่เข้าพักก็โดนโก่งราคาอีก ออกไปกินข้าวข้างนอกก็โดนคนวิ่งราวฉกกระเป๋าตังไปซะงั้น ไอ้หมอนี่ก็เลยเข็ดเมืองไทยไปนานเลย สิ่งที่เขาได้เจอก็คือสิ่งที่เขาได้บอกเล่าให้ญาติสนิทมิตรสหายของเขาได้รับรู้กันถ้วนหน้า
     ในขณะเดียวกันมีฝรั่งอีกคนหนึ่งมาเที่ยวเมืองไทย ลงเครื่องบินมาก็มีนางรำมาคล้องพวงมาลัยให้ คนขับรถก็สุภาพชวนคุยและก็แนะนำสถานที่ต่างๆ จนถึงโรงแรม ที่โรงแรมพนักงานทุกคนก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ห้องพักก็ดูดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก ออกไปเที่ยวข้างนอกไม่รู้จักเส้นทางก็มีพลเมืองดีมาบอกเส้นทาง อาหารที่ไปทานมารสชาดก็สุดยอด ไปเที่ยวทะเลก็สวยงามมากผู้คนบนเกาะนี้ยิ้มเก่งและใจดีกันทุกคน สิ่งที่เขาได้ก็คือความสุดยอดและรอยยิ้มอันประทับใจของเมืองไทย นี่ก็คือสิ่งที่เขาคนนี้จะเล่าและบอกต่อกับญาติสนิทมิตรสหายของเขาเกี่ยวกับเมืองไทย
     เอ ก็ไอ้สองคนนี้มันก็มาเที่ยวเมืองไทยเหมือนกันนี่แล้วทำไมมันได้รับความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันได้ขนาดนั้นล่ะครับ คิดว่าคงโอกันแล้วนะ มาว่าถึงหัวข้อต่อไปกันเลยดีกว่า
     งานเรือนั้นต้องใช้ความอดทนสูงมากถึงจะอยู่ได้ อดทนอะไรกันนักกันหนาครับ น้าก็เห็นไอ้คนที่บ่นอยู่ตลอดเวลาเมื่อ 6-7 ปีที่แล้วที่เจอกัน ก็ยังป่วนเปี้ยนอยู่แถวๆนี้นี่แหละ หรือว่ามีความอดทนสูงกันขนาดนั้นเลยหรือ งานบนเรือนี่มันไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกครับ มันอยู่ที่ใจแค่นั้นเองครับ ถ้าเราอยู่แล้วเรามีความสุขใจก็จะสั่งการให้สมองให้หลั่งสารแห่งความสุขออกมา พอเรามีความสุขร่างกายมันก็จะดูสดใสร่าเริงขึ้นมาทันทีครับ งานแค่นี่กับเงินเดือนขนาดนี้ผมว่ามันไม่หนักครับ น้าเคยทำงานหนักกว่านี้มาตั้งหลายเท่าเพื่อแลกกับเงินที่น้อยกว่านี้ตั้งหลายเท่า หรือว่าที่ทำงานเรือกันอยู่ตอนนี้เคยทำงานเบากว่านี้แล้วได้เงินเยอะกว่านี้อันนี้น้าก็ต้องขอโทษด้วยนะ แล้ว---จะมาทำไม
     สมัยตอนที่น้าทำงานโรงแรมน้ามีความรู้สึกว่าเราทำงานหนักกว่านี้เยอะเลย ตอนที่น้าอยู่แผนกจัดเลี้ยง น้าก็ไม่เคยนับนะว่าทำงานวันละกี่ชั่วโมง เอาเป็นว่าบางวันก็นอนในห้องจัดเลี้ยง บางวันก็ลืมไปรูดบัตรออก แล้วก็ต้องรูดเข้าเลย เพราะไม่งั้นเหมือนว่าเราลืมรูดบัตร แต่ที่จริงยังทำงานอยู่ยังไม่ได้ออกจากตัวโรงแรมเลย ทำเกี่ยวกับจัดเลี้ยงมาก็น่าจะ 6 ปี ก่อนจะย้ายเข้ามากทม. ห้องอาหารที่น้าอยู่นั้นบอกตรงๆว่านี่แหละถึงจะเรียกว่าหนัก น้าจะเข้างานตี 5-บ่าย2โมง ซะส่วนใหญ่ทำมาอยู่ 4ปีก่อนจะมาทำงานเรือ ตั้งแต่เขางานจนออกงานแทบจะไม่ได้หยุดเลยก็ว่าได้ แถมบางวันมีต่อตอนเย็นอีกต่างหากถ้ามีจองเยอะ ลูกค้าเช้าประมาณ 3-400คนทุกวัน ทำกันอยู่ประมาณ 5-6 คน จนมีคนบอกว่าถ้าผ่านห้องนี้ไปได้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำงานที่ไหนไม่ได้ มันคงไม่มีหนักกว่านี้อีกแล้วล่ะ
     ทำงานเรือนั้นต้องทำงานถึงวันละ 13-15 ชั่วโมง อันนี่ก็อีกเรื่องนึง ถามจริงๆเหอะว่าคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมานี่ตอนที่เซ็นต์สัญญาหรือว่าตอนที่ sign on เพื่อไปทำงานเรือนี่ได้อ่านกันบ้างหรือเปล่าว่าเขาเขียนอะไรบ้างและเราได้เซ็นต์ตกลงอะไรไปบ้าง เพราะว่าในหนังสือสัญญาการจ้างงานก็เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าเราเองเนี่ยตกลงที่จะทำงานวันละ 13 ชั่วโมงครับ และบริษัทก็ยังสามารถให้เราทำงานล่วงเวลาได้อีกด้วยถ้ามีเหตุหรือมีงานที่จำเป็น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นในหนึ่งเดือนเราจะต้องไม่ทำงานเกิน 390 ชั่วโมงครับ นี่คือสิทธิของเราที่เราน่าจะรู้ก่อนที่จะไปว่าใครเขานะครับ
     แต่ก็อีกนะแหละครับ มาดูเรื่องเวลาของการทำงานกันหน่อยพอเอาไว้ประดับความรู้ก็ดีหรือเอาไว้บอกกล่าวกับหัวหน้างานที่ใช้แบบไม่ดูเวล่ำเวลาก็ได้ครับ แต่ว่าต้องพูดให้เป็นและก็ต้องรู้จักเวลาที่จะพูดด้วยนะครับ
****โดยส่วนใหญ่แล้วเขาเป็นกฎเลยแหละว่าจะไม่ให้ crew member ทำงานต่อเนื่องกันเกิน 5 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่หัวหน้างานด้วยว่าจะมีวิธีการบอกกล่าวกับลูกน้องของตนอย่างไรในกรณีที่จะต้องขอให้ใครทำงานเกิน 5 ชั่วโมง
****ภายในหนึ่งวัน [รอบ 24 ชั่วโมง] เราจะต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 10 ชั่วโมง นี่ก็คือสิทธิที่ควรรู้ไว้เหมือนกัน นั้นก็หมายความว่า เราสามารถทำงานได้ถึงวันละ 14 ชั่วโมงเลยนะ
****ภายใน 7 วัน เราจะต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 77 ชั่วโมง พูดง่ายๆก็คือเราสามารถทำงานได้ถึงวันละ 13 ชั่วโมงทุกวันติดต่อกันได้เป็นอาทิตย์เลยนะ
****และก็ภายในหนึ่งเดือน เราจะต้องไม่ทำงานมากกว่า 390 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นยกเว้นจะมีการร้องขอจากบริษัทหรือหัวหน้างาน
     ทีนี้ก็ลองมองย้อนกลับไปดูอีกทีซิว่าเราทำงานเกิน 390 ชั่วโมงต่อเดือนหรือเปล่า ถ้าถามน้านะสมัยน้าอยู่โรงแรมที่เมืองไทย น้าเคยทำงานต่อเนื่องกันตั้งเป็นอาทิตย์แบบว่ากินนอนอยู่ที่โรงแรมไปเลยก็หลายครั้ง ถ้านับชั่วโมงก็น่าจะไม่ต่ำกว่า450-500 ชั่วโมง แน่นอน แต่ว่าตั้งแต่น้าทำงานเรือมาจนถึงปัจจุบัน น้ายังไม่เคยทำงานเกิน 390 ชั่วโมงเลยซักที เฉลี่ยชั่วโมงการทำงานของน้าเมื่อปีที่แล้วน้าคิดว่าน่าจะอยู่ที่ 280-300 ชั่วโมงต่อเดือน บางแผนกอาจจะไม่น้อยขนาดนี้แต่น้าก็เชื่อว่าไม่น่าจะถึงหรือเกิน 390 ชั่วโมงครับ แต่ต่อให้ถึงนั่นมันก็คือข้อตกลงที่เราทำไว้แล้วในวันเซ็นต์สัญญาไม่ใช่หรือครับ
     งานเรือนั้นไม่มีอิสระเลยเหมือนติดคุก เอออันนี้น้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่ามันหมายถึงอย่างไร น้าก็ไปเที่ยวมาแล้วเกือบจะทั่วโลก น้าก็ได้ออกไปทุกที่ที่น้าอยากจะไป ได้ไปเห็นได้ไปสัมผัสมาแล้วเยอะแยะมากมาย และน้ามองไปรอบๆตัวน้ามันก็ไม่ใช่น้าคนเดียวนี่นา ที่ออกมาดูมาเที่ยวน้ามองไปทางไหนส่วนใหญ่แล้วน้าก็เห็นลูกเรือด้วยกันทั้งนั้นที่ออกมาเย้วๆ กันเต็มไปหมด ไม่มีใครโดนขังหรือกักบริเวณหรอกยกเว้นบางกรณีที่คุณไปทำผิดวินัย เช่นทำบัตร laminex [บัตรประจำตัวใช้เข้าออกเรือ] ก็จะหมดสิทธิออกนอกเรือจนกว่าจะได้บัตรใหม่ หรือว่าคุณกลับมาเรือสายกว่าเวลาที่เขากำหนดสำหรับลูกเรืออันนี้คุณก็ต้องโดนยึดบัตร laminex อีกเช่นกัน นอกจากนี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีกรณีไหนที่เขาไม่ให้คุณออกไปเที่ยวหรอกครับ
     เอาล่ะวันนี้ก็น่าจะได้เข้าใจอะไรกันขึ้นมาบ้างสำหรับน้องใหม่ที่กำลังจะเข้ามาสู่ชมรมเดียวกัน ส่วนพี่ใหญ่หรือใครที่คิดว่ามีข้อมูลอะไรใหม่ๆ หรือใครคิดว่าไอ้ที่น้าได้พูดมานี่มันถูกหรือมันผิดยังงัย ก็เขียน comment ไว้ได้เลยนะ น้าจะได้เอามาบอกกล่าวเผยแพร่ให้กับทุกๆคน

เชือกแค่ไม่กี่เส้นนี่แหละที่ผูกเรือไว้ตอนที่เขาฝั่ง

No comments:

Post a Comment