Wednesday, May 19, 2010

เสริฟยังงัยให้ได้ TIP ???? ต่ออีกรอบ


เป็นยังงัยกันบ้างพอได้ TIP กันบ้างแล้วหรือยัง อันนี้มันไม่มีกฎตายตัวนะว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้อย่างนี้ เพราะว่าตัวแปรก็คือลูกค้า เพราะฉนั้นน้าก็เลยบอกว่าในหนึ่ง cruise นั้น เราจะต้องหากลุ่มลูกค้าประจำให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10 คู่ หรือ 10 กลุ่ม ลูกค้าคนเดียวก็ได้ แต่ว่าจากสถิติแล้วลูกค้าที่มาคนเดียวนี่จะไม่ค่อยได้ TIP แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ที่บอกว่าให้หาให้ได้เป็น 10 นี่ก็เพราะว่าอย่างที่บอกไว้นะแหละ ไม่ได้บอกว่าจะได้ TIP ทุกครั้งเสมอไป แต่ว่าถ้าเรามีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในมือตั้ง 10 ต่อให้พลาดไปตั้งครึ่ง ก็ยังเหลืออยู่ตั้ง 5 คู่ โดยเฉลี่ยแล้วที่น้าเคยได้นะถ้าเป็นซองนี่ก็มีตั้งแต่ 10 $-50$ ต่อคู่ อันนี้มันก็แล้วแต่ว่าเขาพอใจเรามากแค่ไหน และที่สำคัญเขาเหลือเงินมากแค่ไหนด้วย พูดแบบง่ายๆให้เข้าใจแบบง่ายๆ ก็คือว่าถ้าเราทำอย่างที่น้าพูดได้นี่ ในแต่ละ cruise เราก็จะมี TIP เพิ่มมาอีกอย่างน้อยก็ week ละ 80-150 $ เดือนนึงก็ 320-600 $ เป็นยังงัยบ้าง นี่คือรายได้พิเศษนะลูกค้าเขาจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ แต่ว่าเราก็พอที่จะมีวิธีที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องให้ มาดูวิธีกันเลยดีกว่าว่าจะทำยังงัยให้มีลูกค้าอยู่ในมือได้ตั้ง 10 คู่ในแต่ละ cruise


เริ่มต้นเลยจากการที่เจอกันวันแรก พยายามให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรือให้ได้มากที่สุด และก็แทรกเรื่องราวของตัวเองไปนิดนึงบวกกับมุขขำๆ แบบเล็กๆนะไม่ต้องเอาแบบฮาจนตกเก้าอี้นะ พูดง่ายๆวันแรกนี่ต้องพยายามคุยและก็ตีสนิทให้ได้ที่สำคัญในระหว่างที่เราคุยกับลูกค้าอยู่นั้นต้องพยายามจำชื่อและหน้าตาของเขาให้ได้ เพราะว่าถ้าเจอกันในวันต่อไปถ้าเราสามารถเรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้องแล้วล่ะก็ ลูกค้าคนนั้นก็คือ 1 ใน 10 ของเป้าหมายเราแล้ว แล้วจะจำกันได้ยังงัยคนพึ่งเจอกันวันแรกจะจำได้ยังงัยตั้ง 10 คู่ ถ้าจำไม่ผิดน้าเคยบอกเรื่องสิ่งของสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยเราจดจำสิ่งต่างๆได้อย่างแม่นยำหรือที่เราเรียกมันง่ายๆว่ากระดาษกับปากกา ซึ่งเรามีติดตัวติดถาดอยู่แล้ว ถ้าคิดว่าไม่สามารถจำชื่อคนมากกว่า 20 คนได้ พร้อมหมายเลขบัญชี รูปร่างหน้าตา จุดเด่นของแต่ละคน และเครื่องดื่มของแต่ละคน ได้แล้วล่ะก็ไอ้เจ้าสองสิ่งที่พูดไปนั้นมันสามารถช่วยเราได้ เพราะว่าน้าเองก็ยังใช้มันประจำแม้กระทั้งตอนนี้น้าเป็น bar soup แล้ว น้าก็จะมีกระดาษแผ่นเล็กไว้ในกระเป๋าน้าตลอดในกรณีที่น้าต้องคุยกับลูกค้า โดยเฉพาะเวลาลูกค้าอารมณ์เสีย ยิ่งต้องจำให้แม่น และที่หลังบาร์ น้าก็จะมีชื่อลูกค้าประจำที่นั่งหน้าบาร์ตลอดพร้อมรายละเอียดติดไว้อยู่ประจำ เก็บสมองไว้คิดอย่างอื่นบ้างดีกว่าตรงนี้กระดาษกับปากกามันช่วยได้เยอะเลย

นี่คือปฎิบัติการวันแรกพยายามเก็บรายละเอียด และพยายามจดรายชื่อของลูกค้าแทบจะทุกคนที่เราได้มีโอกาสเสริฟในวันแรก มีร้อยก็จดร้อยครับทำไมนะเหรอ ก็เพราะว่าบนเรือนี่มันก็ไม่ใช่เล็กๆนะ เราคิดว่าเราจะเจอกับลูกค้าทุกคนที่เราเสริฟวันแรกมั๋ย น้าตอบได้เลยว่าไม่ นั้นก็คือเหตุผลว่าทำไมต้องมีเป็นร้อยได้ยิ่งดี พยายามตีสนิทไว้ด้วยคำพูด เอาสแนคส์มาให้ตลอด คอยเคลียร์โต๊ะให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา คอยถามไถ่อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญตอนที่ลูกค้าลุกออกจากบาร์ไม่ว่าตอนนั้นเราจะทำอะไรอยู่ก็ต้องมาบอกลาลูกค้าให้ได้พร้อมกับคำพูดในลักษณะที่ว่า วันนี้ดีใจมากเลยที่คุณมาใช้บริการที่นี่ขอบคุณมากแล้วพรุ่งนี้เราจะเตรียมเครื่องดื่มที่เขาชอบไว้ให้ หรือเราจะเตรียมสแนคส์ที่เขาชอบไว้ให้ หรือเรามีอะไรจะเล่าให้ฟัง หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องกลับมาที่นี่

นี่ก็เป็นแค่เคล็ดเล็กๆน้อยๆ แค่นั้นครับ มันก็ไม่ได้ง่ายมากแต่วามันก็ไม่ได้ยากเกินไปมิใช่หรือ กับรายได้พิเศษที่จะตามมาและที่สำคัญถ้าใครทำตามที่น้าบอกได้นะ ภาษาอังกฦษของเราจะไปได้เร็วมาก เพราะว่าเราจะต้องพูดและชักจูงให้ลูกค้าเห็นความสำคัญในสิ่งที่เรากำลังทำให้เขาให้ได้ ตอนนี้น้าก็กำลังยุ่งในการเตรียมตัวเดินทาง อีกแค่ 3 วัน น้าก็จะบินแล้ว จะพยายามหาข้อมูลมาลงเพิ่มแต่ว่าถ้าไม่มีเวลา ก็คงเป็นตอนน้าถึงเรือได้ซักพักไม่น่าจะเกินหนึ่งอาทิตย์ น้าก็น่าจะมีเวลามาเขียนบล็อคเหมือนเดิม และครั้งหน้าจะเป็นทีเด็ดเลยก็ว่าได้ ประมาณ 95 % ของลูกค้าที่เจอไม้นี้ต้องควักกระเป๋ากันทุกราย

Wednesday, May 12, 2010

เสริฟยังงัยให้ได้ 100,000 ????? ต่อ

หวัดดีอีกทีครับ วันนี้เราก็ยังจะพูดกันต่อในหัวข้อที่ว่า เสริฟยังงัยให้ได้ 100.000 สำหรับใครที่ได้อ่าน 2 บทความก่อนหน้านี้มาแล้วคิดว่าป่านนี้น่าจะได้เกือบ 100.000 กันแล้วล่ะ ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากนิดหน่อยเกี่ยวกับผลไม้ต้องห้ามสำหรับ JBS. โดยเฉพาะ ห้ามรับประทานหรือหาซื้อหรือว่ามีไว้ในครอบครองเด็ดขาด ถ้าคิดว่าจะเป็น JBS. ที่ดี ที่มียอดขายถึง 100.000 บาทต่อเดือน จะต้องอยู่ให้ห่างจากผลไม้ที่น้ากำลังจะบอกว่ามีดังต่อไปนี้
****ระกำ
****ท้อ
****บ๊วย
****สละ
****แห้ว
ครับผมผลไม้ต้องห้ามทั้ง 5 อย่างนี้ล้วนไม่เป็นมงคลกับ JBS. ทั้งสิ้น มาดูกันทีละข้อๆเลยก็ได้
****ระกำ  คำว่าระกำจะต้องไม่มีอยู่ใน JBS. เด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ช่าง เรื่องที่ทำให้เราเศร้าเสียใจ ช้ำใจ ทุกข์ระทม ไม่สบายใจ เรื่องพวกนี้จะต้องตัดออกไปให้ได้ สมาธิจะต้องอยู่ที่การขายมากกว่าเรื่องพวกนี้ เพราะฉนั้นห้ามกินระกำเด็ดขาด
****ท้อ   จะต้องไม่มีคำว่าท้อใน JBS. ที่ดี ที่จะทำยอดให้ได้ถึง 100.000 บาท ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ ก็ต้องไม่ท้อ เดินมองหาลูกค้าต่อไป ไม่ว่าแดดจะแรงแค่ไหน ไม่ว่าฝนจะตก ไม่ว่าจะเลยเวลาพักแล้ว ไม่ว่าจะหิวข้าว ไม่ว่าจะปวดขา ไม่ว่าจะไม่สบาย จะต้องไม่ท้อโดยเด็ดขาด
****บ๊วย   อันนี้มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีใครอยากได้อันดับบ๊วยหรอก JBS. ที่ดีก็เหมือนกัน จะต้องมาก่อนเพื่อนเสมอ จะต้องได้เริ่มขายก่อนเพื่อนเสมอ จะต้องได้กลุ่มใหญ่ก่อนเพื่อนเสมอ  ยอดขายก็จะต้องมาอันดับต้นๆเสมอ ห้ามไปอยู่อันดับหลังๆ หรืออันดับบ๊วยโดยเด็ดขาด
****สละ  คำนี้อาจจะฟังดูใจดำไปนิดนึง แต่ว่าคำว่าเสียสละไม่มีอยู่ใน JBS. ที่ขายได้เดือนละ 100.000 บาทครับ เห็นลูกค้าเดินมาต้องวิ่งเข้าหาลูกค้า ไม่ใช่บอกให้คนอื่นเข้าไป ไม่ต้องสงสารคนอื่นว่าเขาจะขายได้เท่าไหร่ ไม่ต้องเสียสละให้เธอก่อน ครับฟังดูแล้วมันโหดมากเลย แต่ว่าถ้าคุณมีเป้าหมายเดือนละ 100.000 นี่ก็คือวิธีที่คุณจะต้องทำ ก็อย่างที่น้าบอกว่าวิธีน่ะมันมี แต่เราจะทำตามมันได้หรือเปล่าแค่นั้นเอง
****แห้ว  อันนี้ก็เหมือนกันอย่าให้คำนี้เกิดขึ้นกับเราโดยเด็ดขาด พยายามหาวิธีการในการพูดคุยกับลูกค้า ให้เขามาเป็นลูกค้าคนสนิท หรือลูกค้าประจำของเราให้ได้ พลาดจากลูกค้าคนนี้ เราก็ยังมีลูกค้าอีกตั้งหลายคน ที่ยังคอยอยู่ อย่าให้ในแต่ละชั่วโมงที่ทำงานอยู่หมดลงด้วยคำพูดที่ว่า วันนี้ยังไม่ได้ขายเลย คำว่าแห้วจะต้องไม่เกิดขึ้นกับเราเด็ดขาด เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ภายในหนึ่งชั่วโมงเราต้องขายให้ได้เท่าไหร่
     เป็นยังงัยบ้างใครที่ชอบทานผลไม้พวกนี้อยู่กันเป็นประจำก็ขอให้เลิกกันเถอะนะครับ เงินน่ะมีแต่ว่าถ้าอยากได้มันก็ต้องทำเอาเอง

     ที่นี้มาต่ออีกเรื่องนึงที่สำคัญมาก หลังจากที่เรามีทุกอย่างครบตามที่ได้บอกมาแล้ว อีกสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้และมีความสำคัญอย่างมากนั้นก็คือ ความไว หรือพูดให้ครบก็คือความว่องไวกระฉับกระแฉง หรือพูดแบบง่ายๆ ก็คือพริ้วว่างั้นเถอะ เรื่องนี้สำคัญมาก ก็ลองคิดดูแบบง่ายๆ เลยนะว่า
*****นาย ก. สามารถรับ  order ได้ 6 โต๊ะ ภายในหนึ่งชั่วโมง
*****นาย ข. สามารถรับ order ได้ 14 โต๊ะ ภายในหนึ่งชั่วโมง
คุณคิดว่าใครน่าจะมีรายได้มากกว่ากันภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการรับ order หรือการเอาเครื่องดื่มไปเสริฟลูกค้าจะต้องทำด้วยความถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ในระหว่างที่เรากำลังเสริฟเครื่องดื่มลูกค้าอยู่นั้น สายตาต้องคอยสำรวจบริเวณรอบๆด้วยว่าจะมีใครสั่งเครื่องดื่มหรือเปล่า ถ้ามีแต่ว่าเรายังเสริฟคนนี้ไม่เสร็จ ให้ส่งสัญญานไปที่ลูกค้าคนนั้นบอกให้เขารับรู้ว่าคุณเห็นเขาแล้ว และกำลังจะรีบไป ห้ามมายืนคอยเครื่องดื่มที่หน้าบาร์เด็ดขาด ควรจะยืนอยู่ในพื้นที่ที่เราสามารถมองเห็น
บาร์และลูกค้าในขณะเดียวกัน  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่าปฎิเสฐลูกค้าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ยุ่งอยู่ก็ต้องรับ เสริฟลูกค้าอยู่ก็ต้องรับ แต่ต้องรับแบบมืออาชีพ [อ่านต่อไปเดี๋ยวรู้] ในการรับ order แต่ละครั้ง จงพยายามมองโต๊ะรอบข้างตลอดเวลา และควรจะมี order อย่างน้อย 3 order ในช่วงเวลาเร่งด่วน และพอวาง order เรียบร้อยแล้วก็ ให้ออกไปรับ order ใหม่ทันที ทำอย่างนี้ให้ได้ทุกครั้งและทุกวัน นี่ก็แค่เด็กๆ ครับ เคล็ดวิชามาร มันยังมีอีกเยอะ เอาไว้ก็ติดตามกันต่อไปก็แล้วกันนะ

Tuesday, May 11, 2010

เสริฟยังงัยให้ได้ 100,000

ก็หวัดดีกันอีกครั้งครับ วันนี้มาต่อกันเลยว่าแล้วจะทำยังงัยล่าที่จะได้เดือนละแสนกะเขาเสียที มันมีวิธีอยู่แล้วล่ะ แต่ว่าเราจะทำตามวิธีที่น้าบอกได้หรือเปล่าแค่นั้นแหละ ก่อนที่น้าจะบอกเคล็ดลับการเสริฟเงินแสนน้าขอนอกเรื่องนิดนึงแต่มันจะทำให้เรามองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นอีกเยอะเลย
     นาย ก ทำงานเสมียนบัญชีที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งได้เงินเดือน 5.000 บาท ต่อเดือน ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
     นาย ข ทำงานล้างจานอยู่ร้านข้าวมันไก่ ได้วันละ 150 บาท ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง
แต่อยู่มาวันนึง นายจ้างของทั้งสองคนต้องการคนทำงานเพิ่มจึงลงประกาศรับสมัครพนักงาน พร้อมกับลงรายละเอียดตามข้างตน ปรากฎว่าร้านของนายก็มีคนมาสมัครเป็นเสมียนกันเยอะแยะเลย แต่ว่าร้านนาย ข ไม่ค่อยมีใครจะมาถามหรือสมัครซักเท่าไหร่
     เอาล่ะอ่านแล้วงงมั๋ย คิดว่าคงพอจะมองออกนะว่าน้าต้องการสื่ออะไร ถ้าเข้าใจเรื่องนี้เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่น้ากำลังจะพูดถึงนี้


ดูเอาไว้อยากได้ก็ต้องทำเอา


ครับมาต่อกัน ก่อนอื่นเลยทุกครั้งก่อนที่เราจะออกรบนั้นเราก็ต้องมาเตรียมความพร้อมกันซักนิดหน่อย เริ่มตนจากตัวเราก่อนเลย ว่าเราพักผ่อนเพียงพอมั๋ยไม่ใช่ไปเดินตากแดดหน่อยนึงแล้วก็หลบบอกว่าสู้ไม่ไหว หลังจากร่างกายพร้อมแล้ว อาวุธประจำตัวของ JBS. ก็คือปากกา เน้นนะครับว่าคุณต้องมีปากกาอย่างน้อย 3 ด้ามครับ ทำไมนะเหรอครับ
****1 เตรียมไว้สำหรับใช้
****2 เตรียมไว้ให้ยืม
****3 เตรียมไว้เผื่อหาย
แต่ว่าจริงๆแล้ว JBS. ที่ดีนี่ ควรจะมีปากกาอย่างน้อยเลยคือ 6 ด้ามครับ เดี๋ยวจะบอกในบทต่อไป แต่ขอบอกก่อนเลยว่าไม่มี JBS. คนไหนสามารถขายได้เดือนละ 100.000 โดยใช้ปากกาด้ามเดียวครับ น้าขอฟันธงว่ายังไม่เคยมีครับ
      หลังจากร่างกายพร้อม อาวุธพร้อมอีกสิ่งนึงที่สำคัญไม่แพ้สองอย่างแรกเลยก็คือความรู้ในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะขายนี่แหละ หรือเรียกกันแบบเข้าใจง่ายก็คือ knowledge คำพูดที่ว่า knowledge is power อันนี้น้าเชื่อ 100 % คำว่าความรู้ในที่นี้มันครอบคลุมมากเลยแหละครับ แต่ว่าจะขอพูดแบบแคบๆก่อน อันดับแรกเลยคุณต้องรู้ก่อนว่าคุณจะไปขายอะไร และสิ่งที่คุณกำลังจะขายนะมันเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง รสชาดมันเป็นอย่างไร และหน้าตามันเป็นอย่างไร และที่สำคัญ วันนี้ drinks of the day คืออะไร ของง่ายๆเหล่านี้คุณต้องรู้ และสามารถอธิบายได้เป็นอย่างดี ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งมีโอกาสที่จะขายได้มากขึ้นเท่านั้น
     หลังจากที่เรารู้เกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานไปแล้ว เราก็ต้องหาเวลามาเจาะข้อมูลใหม่ๆที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ทำไม knowledge ถึงจะสำคัญอะไรขนาดนั้น ขอยกตัวอย่างให้ดูอีกนิดนึงนะ เอาเป็นว่าลูกค้านายหนึ่งกำลังจะสั่งเครื่องดื่มแต่ว่าเขาไม่มั่นใจว่าไอ้เหล้าตัวนี้มันทำมาจากอะไร เขาก็เลยอยากจะถามจากคุณแต่คุณก็กลับไม่สามารถจะตอบคำถามให้เขาได้ คุณคิดว่าถ้าเป็นคุณคุณยังจะอยากสั่งเครื่องดื่มแก้วนั้นกับพนักงานเสริฟที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเครื่องดื่มแก้วนั้นมั๋ย คงโอแล้วนะ
     เป้าหมายก็เป็นเรื่องอีกเรื่องนึงที่ไม่ควรมองข้าม ก็บอกแล้วว่าถ้าอยากได้เดือนละ 100.000 นี่มันก็ยากพอสมควรนะ แต่ว่ามันก็เป็นไปได้ ทำไมต้องมีเป้าหมาย ก็เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าวันนี้เราจะต้องทำอะไรบ้าง และเราจะต้องขายให้ได้วันละเท่าไหร่ และเราจะต้องทำยังงัยให้บรรลุเป้าหมายนั้น มายกตัวอย่างอีกเรื่อง ก็ถ้าอยากได้เดือนละ 100.000 ก็ต้องขายให้ได้อย่างน้อย วันละ 120 $ ถ้าวันนี้เดินขายอยู่บน open deck เราตั้งเป้าเอาไว้ 50 $ เดี๋ยวค่อยไปขายต่อในบาร์ตอนเย็นอีก 70 $ แต่ว่าถ้ายอดขายยังไม่ถึง 50 $ เราก็ต้องรีบ และพยายาม up ยอดขายให้ถึง 50 $ ให้ได้ตามเป้า  หรือว่าพยายามอย่างที่สุดแล้วก็ยังไม่ถึง 50 $ ก็ต้องไปวิ่งอีกทีตอนเย็น ให้ยอดมันเกินมาจากจำนวนที่เราทำขาดไปในตอนกลางวัน ก็ถ้าทำได้อย่างนี้ตลอดถ้าน้องไม่ได้ 100.000 น้าก็เชื่อว่ามันขาด 100.000 อยู่ไม่เท่าไหร่หรอก
     นี่แค่เด็กๆ วิชามารยังมีอีกเยอะยังงัยก็คอยติดตามกันต่อไปก็แล้วกัน

เสริฟยังงัยให้ได้ TIP?????? ต่อ

หวัดดีอีกครั้งครับผมวันนี้น้าจะขอต่อจากตอนที่แล้วเลยก็แล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าใครพึ่งจะเขามาก็ย้อนไปอ่านบทก่อนหน้านี้ก็แล้วกันในหมวด "ความรู้เกี่ยวกับงาน"
     จากครั้งที่แล้วน้าก็ได้เล่าให้ฟังไปบ้างพอสมควรแล้ว ที่นี้เรามาเจาะลึกกันลงไปอีกนิดนึงครับ ขอต่ออีกนิดนึงจากบทที่แล้วว่าที่น้าประทับใจกับการได้ TIP ครั้งนี้มากก็เพราะว่าลูกค้าที่น้าดูแลนั้นเป็นชาว ENGLAND ซึ่งตามสถิติที่เคยมีการบันทึกและบอกกล่าวกันไว้นั้น คนชาตินี้จะไม่ค่อยให้ TIP โดยเฉพาะถ้าเขามาเจอระบบที่มี service charge หรือ gratuity แล้วลูกค้าพวกนี้จะไม่ค่อยให้ TIP เลยล่ะ แต่ว่าหลังจากที่น้าได้กระทำตามขั้นตอนที่น้าได้บอกกล่าวกันไปแล้วในบทที่แล้ว น้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายหรอก ก็ได้แต่คิดไว้ว่าก็ทำให้ขนาดนี้แล้วมันน่าจะเห็นบ้างล่ะ พอวันสุดท้ายของ cruise ลูกค้ากลุ่มนี้ก็พร้อมใจกันเดินมาหาน้าแต่ว่าวันนี้ไม่ได้มาดื่มเพราะว่าเขาได้จองโต๊ะสำหรับมื้อพิเศษไว้ แต่เขาแค่เดินมาขอบใจเราที่เราดูแลเขาด้วยดีมาตลอด 14 วัน พร้อมกับยื่นซองให้คู่ละซอง สรุปแล้วน้าก็ได้ซองจากลูกค้ากลุ่มนี้ 3 ซอง ยังไม่ได้คิดอะไรก็น่าจะเป็น 10 หรือ 20 $ นี่แหละเดี๋ยวค่อยดูก็ได้ แต่พอน้าแกะซองดูแค่นั้นแหละ แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองครับ น้าได้ซองละ 50 ปอด์น แค่กลุ่มนี้ก็ปาเข้าไป 150 ปอด์นแล้ว และน้าก็มีลูกค้าประจำอีกประมาณ 10 คู่ ที่มีการให้บ้างไม่ให้บ้างตามธรรมเนียม บทต่อไปจะบอกว่าทำไม จริงๆแล้ว 50 ปอด์นนี่มันก็ไม่ได้บอกว่าเยอะอะไรมากมายหรอกนะ มากกว่า 100 $ น้าก็เคยได้มาเยอะแล้ว แต่ที่ประทับใจก็คือว่าลูกค้าชาตินี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าจะไม่ค่อยให้ TIP แต่พอเราสามารถทำให้เขาให้ TIP เราได้นี่ มันเป็นความภูมิใจอย่างมากเลยล่ะ
     ทีนี้มาต่อกันว่าจะต้องทำตัวยังงัยถึงจะได้ TIP จากลูกค้า ก่อนอื่นเลยต้องทำความรู้จักลูกค้าของตัวเองให้ดี ต้องหมั่นสังเกตุเขาตลอดเวลา รู้ที่จะถามเรื่องราวที่เขาสนใจ [บอกวิธีสังเกตุไปแล้ว ] รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ เช่นลูกค้าสั่ง coke แต่ลืมบอกเราว่าไม่ใส่น้ำแข็ง พอเราเสริฟ coke ก็สังเกตว่าลูกค้าไม่เอาน้ำแข็ง พอครั้งต่อไปลูกค้าสั่ง coke อีกเราต้องรีบบอกไปเลยว่าไม่เอาน้ำแข็งใช่มั๋ยครับผมจำได้ว่าครั้งที่แล้วคุณก็ไม่เอาน้ำแข็ง ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับบางคนและนี่ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีที่จะทำให้เราได้ TIP ขึ้นมาซักกะหน่อย แต่ว่ามันเป็นการเปิดใจและแสดงความใส่ใจในตัวของลูกค้าคนนั้นที่นี้เขาก็พร้อมที่จะรับฟังคุณแล้ว
     ต้องพยายามรู้จักและจำชื่อของลูกค้าให้ได้ และพยายามเรียกชื่อของเขาให้ได้มากที่สุดแทบจะทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงเลยก็จะยิ่งเป็นการดี และโดยเฉพาะเวลาเจอเขาที่อื่นที่ไม่ใช่ในบาร์ ถ้าสามารถเรียกชื่อทักทายเขาได้นะ คุณได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะเลย และยิ่งถ้าเราไปเรียกชื่อเขาต่อหน้าคนอื่นหรือที่ ที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้วล่ะก็เอาคะแนนไปอีกเพียบเลย และเขาก็จะมาเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเราในทันที ทำมัยนะเหรอครับ เพราะว่ามนุษย์ทุกคนนะแหละ อยากได้รับการยอมรับจากคนอื่นกันทั้งนั้น ยิ่งมีใครมาเรียกชื่อเขาต่อหน้าที่ชุมชนนี่ เขาดูเหมือนบุคคลสำคัญที่ใครๆก็รู้จักไปเสียแล้ว ก็เหมือนคุณนะแหละกำลังเดินดูของอยู่ดีดี ก็มีเพื่อนรุ่นน้องเดินเข้ามายกมือไหว้กลางห้าง ต่อหน้าผู้คนเยอะแยะ ลองถามตัวคุณเองซิว่าตอนนั้นคุณจะรู้สึกยังงัย
     จำรายละเอียดเกี่ยวกับลูกค้าให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าเรื่องที่เขาคุย ของที่เขาสั่ง ของที่เขาชอบ ของที่เขาไม่ชอบ ที่บอกว่าให้จำอะไรเยอะแยะขนาดนี้อย่าพึ่งท้อนะครับ ที่พูดนี่ไม่ใช่ลูกค้าแค่กลุ่มเดียวนะครับ น้องๆ ต้องหากลุ่มลูกค้าให้ได้อย่างน้อย 10กลุ่ม หรือคู่ ต่อ cruise เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม  น้องๆจะต้องจำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่หน้าตาของลูกค้า ชื่อของลูกค้า หมายเลขบัญชีของลูกค้า เครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่ง สิ่งที่ลูกค้าชอบ สิ่งที่ลูกค้าไม่ชอบ วันสำคัญของลูกค้าถ้ามี [เดี๋ยวจะบอกว่าทำยังงัย] ถามจริงๆว่าคิดว่าจะจำกันได้หมดมั๋ย ลูกค้า 10 กลุ่มนี่ก็อย่างน้อยก็น่าจะเกิน 35-50 คนนี่แหละ ถ้าคิดว่าเก่ง แน่ แม่น ก็จำไป แต่ว่าถ้าไม่มั่นใจว่าจะจำได้หมดน้ามีอะไรจะแนะนำ เขาเรียกว่ากระดาษกับปากกาที่เราใช้งานกันทั่วไปนี่แหละ แปลกมากเลยมันสามารถช่วยให้เราจำรายละเอียดลูกค้าได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากจะใช้มันซะเท่าไหร่
     หลังจากเจอลูกค้าวันแรกก็แค่เขาไปแนะนำตัวพอประมาณ สังเกตจากการพูดคุยก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าเป็นอย่างไรบ้าง เราจะดึงมาเข้าบัญชีของเราหรือเปล่า หรือว่าปล่อยไปเหอะดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะโอ อันนี้เราก็ยังพอมีเวลาที่จะตัดสินใจอยู่ แต่ว่าถ้าเราคิดไว้แล้วว่าโอ สิ่งต่อมาที่สำคัญมากและน้าก็กล้าพูดเลยว่า 95 % เสร็จทุกราย ถ้าเราสามารถจำลูกค้ากลุ่มนี้หลังจากได้พูดคุยและแนะนำตัวกันแค่ครั้งเดียว และวันต่อไปเราเจอเขาและเราสามารถเรียกชื่อเขาได้อย่างแม่นยำ[ ก็แค่แอบดูในกระดาษก่อนแค่นั้นเอง] คุณเชื่อมั๋ยว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะตกเป็นของคุณในทันที ยิ่งถ้าคุณตอกไปอีกดอกว่าจะรับเหมือนที่สั่งเมื่อวานเลยมั๋ยครับผมจะได้จัดให้เลย ผมให้คะแนนคุณไปลอยอยู่ที่ 97 % แล้ว ที่เหลือก็แค่ประคองและก็คอยตอกหมุดเพิ่มนิดหน่อยก็ไม่มีทางหลุดมือไปไหนแล้ว
     ทีนี้หลังจากที่เรารู้รายละเอียดของลูกค้ามาซะเยอะขนาดนั้นแล้วที่นี่มันก็ถึงทีของลูกค้าบ้างแล้วนะที่เขาจะต้องจำชื่อคุณให้ได้ ถ้าเราเรียกชื่อเขาทุกครั้งเลย แต่ว่าเขาก็ยังไม่สามารถหรือว่าไม่อยากเรียกชื่อคุณ อันนี้คะแนนของคุณจะตกลงมาอยู่ที่ 75% ครับ ทำไมนะเหรอครับ ก็ถ้าเขาไม่เรียกชื่อคุณก็แสดงว่าเขายังไม่ได้เห็นความสำคัญของอะไรก็ช่างที่คุณได้ทำให้เขา เรื่องนี้ผมก็ได้ทำเป็นสถิติมาโดยตลอดคนที่เรียกชื่อเราได้นี่ ส่วนใหญ่ก็จะชอบเขียนชื่อเราที่ซองสีขาวตอนวันสุดท้ายด้วยเช่นกัน
     ยังไม่หมดนะยังมีอีกเยอะเรื่องอย่างนี้มันสอนกันได้ไม่หมดหรอก แต่น้าก็จะพยายามดึงมันออกมาให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองด้วยว่ามีความจริงใจแค่ไหน อย่าคิดว่าคนอื่นจะมองไม่ออกนะว่าทำด้วยความจริงใจกับทำเพราะว่าต้องทำมันต่างกันยังงัย วันนี้น้าจะทิ้งท้ายด้วยรูปสวยๆงามๆที่ดูยังงัยก็ไม่เคยเบื่อซักที
ก็เพราะไอ้สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้น้าต้องมาทำงานอยู่ตรงนี้ น้าว่าทุกคนนะแหละก็มาเพื่อเจ้าสิ่งนี้กันทั้งนั้นแหละ แต่ว่าที่เห็นทั้งหมดนี่ไม่ใช่เงินของน้าทั้งหมดหรอกนะ เพียงแต่ว่าน้าต้องนับเงินจ่ายให้ทีมงานทุก cruise ก็เป็นงานที่หนักเอาการพอสมควร ต้องมานั่งนับเงินเป็นล้านทุก cruise นี่ สำหรับลูกทึมทั้งหมดประมาณ 70 ชีวิตนะ น้าเองก็ได้แค่นิดหน่อยเอง 555555555555

Monday, May 10, 2010

เสริฟยังงัยให้ได้ TIP???????

หวัดดีอีกทีวันนี้ก็ยังอยู่เกี่ยวกับฝ่าย BAR อยู่แต่ว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรงก็น่าจะนำไปใช้งานได้เช่นเดียวกัน แต่จะขอพูดถึงเกี่ยวกับ BAR เป็นหลักครับ
      ก็อย่างที่รู้กันว่าพวกเราชาว BAR นั้น ทุกๆการเสริฟเราก็จะได้ 15 % จากลูกค้าอยู่แล้ว นี่เรายังจะหวัง TIP จากเขาอีกหรือนี่ จะไม่โหดไปหน่อยเหรอ กะเอาให้หมดกระเป๋ากันไปเลยว่างั้นเถอะ แต่จะว่าโหดก็คงไม่ใช่หรอกเพราะว่าเราให้บริการไปซะขนาดนั้นเราก็น่าจะได้อะไรตอบแทนมาบ้างแหละ แล้วทีนี้ในเมื่อเขาก็คิดว่าทุกครั้งที่เขาสั่งเครื่องดื่มเขาก็จ่าย 15 % ไปแล้ว แล้วเราล่า เราจะมีวิธียังงัยที่จะทำให้เขารู้สึกให้ได้ว่า เฮ้ย อูต้องให้ TIP อันด้วยว่ะ [ขอโทษที่ต้องใช้ อู ใช้ อัน เพราะกลัวว่าจะไม่สุภาพ ] เราจะทำยังงัยให้ลูกค้าเอาเงินจากกระเป๋าเขามาใส่มือเราให้ได้ เราจะทำยังงัยให้ลูกค้าเดินหาเราเพื่อจะให้ TIP กับเรา เราจะทำยังงัยที่จะให้เขายังต้องเดินตามหาเราในตอนเช้าก่อนจะออกจากเรือเพื่อให้ TIP เรา [ อันนี้ไม่แนะนำเพราะว่า โอกาสพลาดเยอะควรจะปิดการให้ TIP ไปตั้งแต่เมื่อคืนก่อน turn-around ] และเราจะทำยังงัยที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกอายที่ไม่ได้ให้ TIP เรา ครับผมก็ง่ายๆอีกนะแหละวิธีการที่จะทำให้เราได้ TIP นั้นมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ แล้วเราจะทำยังงัยล่า มาอันนี้ขอเล่าจากประสบการณ์ตรงของน้าเองเลยก็แล้วกันนะ
     รายได้หลักของแผนก BAR ก็รู้กันอยู่ว่าคือ TIP ไม่ว่าจะมาจาก TIP จากยอดขายตรง TIP จากยอดขายทั้งลำ และก็ TIP จากลูกค้าโดยตรง น้าจำได้ว่าน้าเคยได้ TIP ครั้งที่น้าประทับใจที่สุดที่น้าอยากจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะสมัยนั้นน้ายังเป็น JBS. อยู่ก็คือ พนักงานเสริฟเครื่องดื่มนี่แหละ น้ามีกล่มลูกค้าเป็นชาว ENGLAND อยู่ประมาณ 6 คน น้าก็ดูแลและเสริฟเขามาตลอดและพอวันที่สองน้าก็เริ่มเข้าตามแผนที่น้าวางไว้ก็คือตีสนิทโดยการเรียกชื่อให้ได้ครบทุกคน และก็ตอกไปอีกหนึ่งดอกด้วยการบอกด้วยว่าใครดื่มอะไรบ้าง และก็ฝังกลบด้วยการบอกว่าไม่ต้องบอกเบอร์ห้องหรอกฉันจำหมายเลขห้องพวกคุณได้หมดแล้ว นั่งกันตามสบายเดี๋ยวฉันจัดการไปเตรียม snacks and peanuts ให้พวกคุณก่อน
     นี่คือการบอกให้ลูกค้ารู้ว่าไอ้เงินแค่ 15% ที่อึงจ่ายมาน่ะมันน้อยไปกับการบริการที่อึงกำลังได้รับอยู่นะ
และหลังจากนั้นก็จะเริ่มบทตีสนิทด้วยการถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ถามเรื่องอะไรก็ได้ที่เขาชอบ อันนี้ต้องมีเทคนิคกันนิดนึง ต้องหาให้เจอว่าเขาชอบอะไร ดูได้จากการแต่งตัว ใส่เสื้อ man-u มายังงี้ คงไม่ไปชอบ liverpool อย่างแน่นอน ใส่เสื้อลาย harley davidson มาซ่ะเท่ห์ ก็ต้องรู้ว่าต้องคุยเรื่องมอร์ไซค์ เห็นใส่รองเท้าคู่สวยก็ต้องชมต้องบอกว่า **โอ้ โฮ้ รองเท้านายมันเยี่ยมมากเลย ให้ตายเถอะ ** อันนี้น้าแค่อยากจะบอกว่าต้องเป็นคำชมนะ ไม่ต้องเวอร์ขนาดนี้ก็ได้นะ นี่แค่เบาะๆไม่กี่อย่าง ลูกค้าก็จะต้องอึดอัดแล้วล่ะ ถ้าไม่ให้ TIP อันอูก็ไม่สบายใจแน่นอน เขาก็จะต้องเดินตามหาเราให้เจอในวันสุดท้ายแน่นอน แล้วทำไมเขาต้องเดินตามหาเราล่ะ ก็มันเป็นแผนของเรานี่แหละ แล้วแผนนั้นเป็นเช่นไรเอาเป็นว่าน้าจะบอกในตอนต่อไปก็แล้วกัน แต่นี่แค่เด็กๆนะแต่กล้ารับรองผลถึง 75% แต่ถ้าใครจบหลักสูตรนี้ไปนะน้ากล้ารับรองเลยว่า ไม่ได้มากก็ได้น้อย แต่รับประกันว่าโอกาสได้สูงถึง 90 % แต่ก็อย่างว่าแหละบทดีแต่ว่าดารานำไม่ดีนี่อันนี้ก็แล้วแต่คนดุแล้วนะ ตัวใครตัวมันแล้วถ้าเป็นอย่างนั้น

เสริฟยังงัยให้ได้ตัง???????

     หวัดดีกันอีกครั้งครับผมยินดีต้อนรับสำหรับน้องใหม่ทุกๆคนที่ได้ผ่านเข้ามาไม่ว่าจะเป็นด้วยความบังเอิญหรือว่าตั้งใจกำล้งอยากที่จะไปงานเรืออยู่ก็ตาม ขอให้อ่านบทความน้าให้หมดนะอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจอะไรไปก่อน หรือว่าถ้ายังไม่เคลียร์ก็ให้ e-mail มาถามก่อนก็ได้ที่ thaiseaman2009@gmail.com นะครับ บางเรื่องราวที่เรายังไม่ได้เข้ามาเจอมาสัมผัสด้วยตัวเราเองเราอาจจะคิดแตกต่างกับน้าเพราะฉนั้นจงอย่าเชื่อทั้งหมดที่ได้ยินมา แต่ว่าให้ลองพิจารณาดูด้วยเหตุและผลแล้วเอาตัวเราเองเป็นที่ตั้ง อย่าให้ใครมาบอกว่าเราต้องทำอะไร
     เอาล่ะวันนี้ขอเอาใจน้องใหม่ฝ่าย BAR หน่อยก็แล้วกันเพราะว่าเป็นฝ่ายที่น้าถนัดที่สุด และก็มีน้องใหม่หลายคนที่ได้เข้ามาทำงานเรือจากการอ่านและศึกษาข้อมูลในบล็อคของน้าได้ทำการสอบถามข้อมูลเรื่องการขาย [เครื่องดื่ม] ยังงัยจะได้เงินเยอะ น้ามีเคล็ดลับจะบอกสำหรับน้องใหม่ทั้งหลายจงฟังให้ดี เคล็ดลับอันนี้ถ้าใครทำตามได้น้ากล้าสัญญาเลยว่าเราได้เดือนละเป็น 100.000 บาท ขึ้นไปแน่นอน ฟังให้ดีนะ
*****ก็ขายให้ได้เยอะๆงัย*******
ก็อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่แล้วก็ถ้าเราขายได้ 10 $  15 % ของ 10 $ ก็ต้องเป็นของเราตามตัวอย่างนี้
ขายได้วันละ 300 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 45 $ ต่อวัน


ขายได้วันละ 300 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 45 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 1.350 $ เป็นเงิน 43.200 บาท






ขายได้วันละ 400 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 60 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 1.800 $ เป็นเงิน 57.600 บาท






ขายได้วันละ 500 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 75 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 2.250 $ เป็นเงิน 72.000 บาท





ขายได้วันละ 600 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 90 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 2.700 $ เป็นเงิน 86.400 บาท






ขายได้วันละ 700 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 105 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 3.150 $ เป็นเงิน 100.800 บาท






ขายได้วันละ 800 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 120 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 3.600 $ เป็นเงิน 115.200 บาท






ขายได้วันละ 900 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 135 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 4.050 $ เป็นเงิน 129.600 บาท






ขายได้วันละ 1.000 $ 15 % จากยอดขายเท่ากับ 150 $ ต่อวัน ตกเดือนละ 4.500 $ เป็นเงิน 144.000 บาท

     เห็นมั๋ยครับว่าถ้าอยากได้มากก็ขายให้มาก แค่ขายได้วันละ 120 $ ทุกวัน รายได้ต่อเดือนก็อยู่ที่ 115.200 บาทแล้วเห็นมั๋ยล่ะว่าง่ายจะตาย งงกันมั๋ยนี่ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเดี๋ยวจะงงกันไปมากกว่านี้

     ตัวอย่างที่ตารางที่น้าชี้แจ้งแจงรายการมาให้ดูนี่ก็เพื่อจะเป็นตัวกระตุ้นให้พวกเราได้มองเห็นภาพซักนิดนึงก่อนที่จะลงสังเวียน ทำไมต้องมีภาพพวกนี้ก็เพื่อว่าเราจะได้มองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราต้องการไปยืนอยู่ที่ส่วนไหนของตาราง ถ้าเราต้องการอยู่แถบสีแดง ก็ไม่ต้องอ่านบทความของน้าต่อไปหรอกมันเสียเวลาพักผ่อนของน้องๆ แต่ว่าถ้าใครคิดว่าอยากอยู่แถวๆสีเขียวลงมาน้าก็อยากจะขอร้องให้อ่านต่อให้จบ และมันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอีกนะแหละถ้าน้องๆอ่านจบแล้วไม่ทำตามที่น้าบอกอย่างเคร่งครัด เน้นนะครับว่าต้องทำตามอย่างเคร่งครัด น้าคิดว่าคงไม่มีใครคิดว่าการที่นักกีฬาคนนึงที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน เขาก็แค่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ไปลงแข็งขันแล้วก็บังเอิญว่าได้ถ้วยมา เพราะฉนั้นอันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดว่าเราอยากได้เดือนละแสนนี่ เราคงไม่แค่ไปเดินขายไปวันๆอย่างไรเป้าหมายไร้แบบแผนแล้วพอสิ้นเดือนเราก็ได้เดือนละแสน น้าว่ามันคงจะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ แต่น้าก็ยังเชื่ออีกนะแหละว่ามันก็ไม่ได้ยากซะจนเกินไป ถ้าน้ายังทำได้เราก็ต้องทำได้เหมือนกันที่สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะทำมันหรือเปล่าแค่นั้นเอง ทำไม่ได้กับยังไม่ได้ทำความหมายมันโครตต่างกันเลย แต่คนส่วนใหญ่กับใช้มันเหมือนกัน คือว่าทำไม่ได้หรอกทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำ ถ้าอยากได้เคล็ดลับจริงๆก็ต้องติดตามกันต่อไปจะได้รู้ว่าอยากได้จริงหรือเปล่า

Friday, May 7, 2010

งานเรือนั้นหนักจริงหรือ//////?????ต่ออีกที

หวัดดีครับต่อกันอีกวัน วันนี้ยังงัยก็ต้องเอาให้จบ จะได้รู้กันเสียทีว่างานเรือนี่มันหนักขนาดไหนและหนักอย่างไร เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาน้าว่าเรามาต่อกันเลยดีกว่า
*****งานเรือนั้นไม่มีความยุติธรรมมีแต่ความลำเอียง อยากรู้จริงๆเลยว่าคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาไปอยู่ที่ไหนมา น้าว่าพวกเราทุกคนที่มีโอกาสเข้ามาอ่านบล็อคของน้านี่น่าจะอายุเกิน 21 ปีกันแล้วแน่นอน เพราะคนส่วนใหญ่หางานเรือนี่จะต้องอายุประมาณนี้ขึ้นไปทั้งนั้น น้าอยากให้ลองมองย้อนมาใกล้ๆตัวหน่อยซิครับว่า มันมีที่ตรงไหนบ้างที่คุณเคย เคยผ่านหรือเคยทำงานมา มันมีแต่ความยุติธรรมปราศจากความลำเอียง อย่าให้น้าพูดแรงกว่านี้เลยนะครับ ขนาดศาลที่ว่าน่าจะเป็นที่ที่มีความยุติธรรมมากที่สุดบางครั้งบางสถาณการณ์ คนผิดกลับเป็นคนถูกซะงั้น คนดีก็กลับต้องไปนอนในตะรางมาก็นักต่อนัก แต่พอตัวเองทำงานมาซักระยะนึงแล้วไม่ได้ปรับตำแหน่ง " แม่งโครตลำเอียงเลยให้แต่เด็กมันได้" ครับอันนี้เรื่องจริงครับ น้ายอมรับว่ามันมีจริงครับ แต่ถ้ามามองในแง่ความเป็นจริง ก็ในเมื่อไอ้นี่มันเป็นคนของไอ้นั่น แล้วมันมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะไม่ให้ไอ้นั่นมันไปช่วยไอ้นี่ ก็ในเมื่อไอ้ที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีอะไรดีหรือแตกต่างจากไอ้นี่เลย เข้าใจกันมั๋ยครับ มาน้าจะขอเล่าเรื่องราวของน้าเองเลยก็แล้วกันนะครับ
*****ก่อนอื่นเลยน้าอยากจะให้ทุกคนฟังแบบเปิดใจนะนี่ไม่ได้เป็นการยกย่องหรือว่าดูถูกใคร แต่น้าถือว่าน้าเอาประสบการณ์จริงของตัวน้ามาเล่าให้ฟังก็แล้วกันครับ
      น้าทำงานเรือมาปีนี้ก็ 10 ปีพอดีครับ เริ่มจาก JBS. หรือว่าพนักงานเสริฟเครื่องดื่มนั่นเอง น้าอยู่ในตำแหน่งนี้มา 2 ปีครึ่ง แต่ในระหว่างนี้ น้าก็ได้รับการเสนอชื่องให้เป็น BARTENDER อยู่ 2-3 ครั้ง แต่ว่าก็มีเด็กเส้นคนอื่นมันตัดหน้าไปตลอดเวลา น้ารู้ว่านั้นคือแพ้เด็กเส้นของพวกเขาน้าเลยไม่ได้ปรับตำแหน่งในตอนนั้น ถ้าน้าคิดว่านั้นคือการลำเอียงไม่มีความยุติธรรมหลงเหลือแล้ว ทำไปให้ตายยังงัยก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก แล้วน้าก็ไม่คิดจะทำอะไรมากมาย อยู่ไปวันๆทำงานไปงั้นๆ ถ้าน้าคิดยังงี้เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว วันนี้พวกน้องๆ ก็คงไม่ได้มาอ่านบล็อคของน้าในวันนี้หรอกครับ มาดูกันว่าน้าคิดยังงัย
     หลังจากที่น้าพลาดการปรับตำแหน่งตั้ง 2-3 ครั้ง สิ่งเดียวที่น้าคิดก็คือว่าเรายังทำไม่ดีพอ น้าต้องทำให้ได้ดีกว่านี้ น้าเคยทำยังงัย น้าทำเพิ่มขึ้นกว่าเดิม น้าเคยช่วยใครยังงัย น้าก็ยังช่วยเขาเหมือนเดิม น้าพยายามฝึกภาษาให้เก่งขึ้น น้าอ่านหนังสืออ่านตำรา จำสูตรได้มากกว่า bartender ในตอนนั้นเสียอีก และทุกครั้งที่มีการทดสอบความรู้ของแผนกน้าก็ทำคะแนนได้ 1ใน 5 มาตลอด จนกระทั้งวันนึงก็มีคนเดินเข้ามาบอกน้าเองเลยว่า น้าได้ปรับตำแหน่งเป็น bartender ในกลาง contract ที่ 3 ในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนรุ่นน้าอีกหลายๆคนเขาก็ยังไม่ได้ปรับตำแหน่งซักที เพราะเขาเชื่อว่าทำไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา น้าคิดค่อนข้างจะง่ายมากเลยนะ ก็ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าคู่แข่งคือเด็กเส้นที่มีโอกาสได้ปรับตำแหน่งสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณจะมาชนะเขาด้วยการไม่ทำอะไรให้ดีกว่าเขาเลยมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้ก็คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับน้าจากตำแหน่ง JBS สู่ BARTENDER ในปี 2000-2003
     มาดูต่ออีกเรื่องนึงน้าก็ทำงานในตำแหน่งนี้ BARTENDER จาก 2003-2007 เป็นเวลาประมาณ 4 ปีกว่าๆ ในช่วงเวลานี้ก็อีกนะแหละน้าได้รับการเสนอชื่อ[ อีกแล้ว ] ให้ปรับตำแหน่งไปเป็น BAR SUPERVISOR ก็อีกนะแหละครับ ผมก็โดนตัดหน้าถึงสองครั้ง โดยเด็กของนายแบบหน้าด้านๆ เลยครับ แต่สิ่งที่ผมคิดในตอนนั้นผมกลับคิดว่าเรายังทำไม่ดีพอ เราต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม แทนที่ผมจะเสียอกเสียใจที่ไม่ได้ปรับตำแหน่ง ผมกลับทำงานมากขึ้นกว่าเดิม สอนงานลูกน้องในทีมงานมากกว่าเดิม ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานขึ้นมากกว่าเดิม และก็รับผิดชอบและดูแลบาร์ที่ผมรับผิดชอบให้ดีที่สุด แล้ววันนึงก็มีคนเดินมาบอกผมอีกว่า เราเลือกคุณแล้ว เราจะให้คุณเป็น BAR SUPERVISOR คนแรกของคนไทย
     เห็นหรือยังครับว่ามันเป็นอย่างไรผมว่ามันอยู่ที่วิธีคิดแค่นั้นเองครับ หลังจากวันนันน้าก็ทำงานในตำแหน่งนี่ ตำแหน่งที่หลายๆคนอิจฉา มาเป็นปีที่สามแล้ว ปีแรกที่น้าได้ตำแหน่งนี้มาบอกตรงๆเลยว่า หลายๆคนคิดว่าน้าจะเป็นตัวถ่วงพวกเขา ไม่รู้ว่าจะทำงานได้จริงหรือเปล่า จะคุมลูกน้องอยู่ไหม จะจัดการบาร์ตั้ง 3-4 บาร์ได้หรือ แต่หลังจากผ่านไปได้แค่ 3 เดือนน้าก็ทำให้ทุกคนได้เห็นว่าน้าทำงานอย่างไร จนกระทั้งคนหลายๆคนที่เคยพูดไม่ดีไว้ในตอนแรก เขามาจับมือยินดีกับน้าและบอกว่าเขาขอโทษที่เขามองน้าผิดไป เอาล่ะคิดว่าคงจะพอมองเห็นภาพกันบ้างแล้วนะ "ความยุติธรรมน่ะมันไม่มีอยู่ในโลกนี้มาตั้งนานแสนนานแล้วครับ แต่คำพูดที่ว่าทำดีย่อมได้ดีอันนี้ยังมีอยู่จริงครับ"

Thursday, May 6, 2010

งานเรือนั้นหนักจริงหรือ ????? [ต่อ]


ครับผมก็ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว จงอย่าเชื่อทุกคำที่ผมพูดผมเพียงแค่อยากจะบอกว่าทุกคำที่ผมพูดมันคือความจริงที่มีอยู่บนเรือในอีกแง่มุมนึงที่คนที่พูดถึงในมุมกลับกันอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นหรือได้สัมผัสด้วยตัวของเขาเอง แต่ว่าทุกสิ่งที่น้าได้พูดไว้ในพื้นที่ตรงนี้น้าเห็นและผ่านมาหมดแล้ว และบางเรื่องราวมันก็เกิดขึ้นกับตัวน้าเอง หรือบางเรื่องราวน้าก็เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยก็มี บทความและเรื่องราวต่างๆ ที่น้าได้เล่าได้ถ่ายทอดให้ฟังมันจึงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงอยู่บนเรือมาจนถึงทุกวันนี้ นี่แหละ แต่ก็อีกน่ะแหละเราจะไปเจอมุมไหนของเรื่องราวก็แค่นั้นเอง มาน้าจะเล่าอีกหนึ่งตัวอย่างให้ฟังจะได้เข้าใจกันง่ายๆ
     มีฝรั่งคนหนึ่งมาเที่ยวเมืองไทย และเขาก็โดน taxi โกงค่ารถ พอไปถึงโรงแรมที่เข้าพักก็โดนโก่งราคาอีก ออกไปกินข้าวข้างนอกก็โดนคนวิ่งราวฉกกระเป๋าตังไปซะงั้น ไอ้หมอนี่ก็เลยเข็ดเมืองไทยไปนานเลย สิ่งที่เขาได้เจอก็คือสิ่งที่เขาได้บอกเล่าให้ญาติสนิทมิตรสหายของเขาได้รับรู้กันถ้วนหน้า
     ในขณะเดียวกันมีฝรั่งอีกคนหนึ่งมาเที่ยวเมืองไทย ลงเครื่องบินมาก็มีนางรำมาคล้องพวงมาลัยให้ คนขับรถก็สุภาพชวนคุยและก็แนะนำสถานที่ต่างๆ จนถึงโรงแรม ที่โรงแรมพนักงานทุกคนก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ห้องพักก็ดูดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก ออกไปเที่ยวข้างนอกไม่รู้จักเส้นทางก็มีพลเมืองดีมาบอกเส้นทาง อาหารที่ไปทานมารสชาดก็สุดยอด ไปเที่ยวทะเลก็สวยงามมากผู้คนบนเกาะนี้ยิ้มเก่งและใจดีกันทุกคน สิ่งที่เขาได้ก็คือความสุดยอดและรอยยิ้มอันประทับใจของเมืองไทย นี่ก็คือสิ่งที่เขาคนนี้จะเล่าและบอกต่อกับญาติสนิทมิตรสหายของเขาเกี่ยวกับเมืองไทย
     เอ ก็ไอ้สองคนนี้มันก็มาเที่ยวเมืองไทยเหมือนกันนี่แล้วทำไมมันได้รับความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันได้ขนาดนั้นล่ะครับ คิดว่าคงโอกันแล้วนะ มาว่าถึงหัวข้อต่อไปกันเลยดีกว่า
     งานเรือนั้นต้องใช้ความอดทนสูงมากถึงจะอยู่ได้ อดทนอะไรกันนักกันหนาครับ น้าก็เห็นไอ้คนที่บ่นอยู่ตลอดเวลาเมื่อ 6-7 ปีที่แล้วที่เจอกัน ก็ยังป่วนเปี้ยนอยู่แถวๆนี้นี่แหละ หรือว่ามีความอดทนสูงกันขนาดนั้นเลยหรือ งานบนเรือนี่มันไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกครับ มันอยู่ที่ใจแค่นั้นเองครับ ถ้าเราอยู่แล้วเรามีความสุขใจก็จะสั่งการให้สมองให้หลั่งสารแห่งความสุขออกมา พอเรามีความสุขร่างกายมันก็จะดูสดใสร่าเริงขึ้นมาทันทีครับ งานแค่นี่กับเงินเดือนขนาดนี้ผมว่ามันไม่หนักครับ น้าเคยทำงานหนักกว่านี้มาตั้งหลายเท่าเพื่อแลกกับเงินที่น้อยกว่านี้ตั้งหลายเท่า หรือว่าที่ทำงานเรือกันอยู่ตอนนี้เคยทำงานเบากว่านี้แล้วได้เงินเยอะกว่านี้อันนี้น้าก็ต้องขอโทษด้วยนะ แล้ว---จะมาทำไม
     สมัยตอนที่น้าทำงานโรงแรมน้ามีความรู้สึกว่าเราทำงานหนักกว่านี้เยอะเลย ตอนที่น้าอยู่แผนกจัดเลี้ยง น้าก็ไม่เคยนับนะว่าทำงานวันละกี่ชั่วโมง เอาเป็นว่าบางวันก็นอนในห้องจัดเลี้ยง บางวันก็ลืมไปรูดบัตรออก แล้วก็ต้องรูดเข้าเลย เพราะไม่งั้นเหมือนว่าเราลืมรูดบัตร แต่ที่จริงยังทำงานอยู่ยังไม่ได้ออกจากตัวโรงแรมเลย ทำเกี่ยวกับจัดเลี้ยงมาก็น่าจะ 6 ปี ก่อนจะย้ายเข้ามากทม. ห้องอาหารที่น้าอยู่นั้นบอกตรงๆว่านี่แหละถึงจะเรียกว่าหนัก น้าจะเข้างานตี 5-บ่าย2โมง ซะส่วนใหญ่ทำมาอยู่ 4ปีก่อนจะมาทำงานเรือ ตั้งแต่เขางานจนออกงานแทบจะไม่ได้หยุดเลยก็ว่าได้ แถมบางวันมีต่อตอนเย็นอีกต่างหากถ้ามีจองเยอะ ลูกค้าเช้าประมาณ 3-400คนทุกวัน ทำกันอยู่ประมาณ 5-6 คน จนมีคนบอกว่าถ้าผ่านห้องนี้ไปได้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำงานที่ไหนไม่ได้ มันคงไม่มีหนักกว่านี้อีกแล้วล่ะ
     ทำงานเรือนั้นต้องทำงานถึงวันละ 13-15 ชั่วโมง อันนี่ก็อีกเรื่องนึง ถามจริงๆเหอะว่าคนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมานี่ตอนที่เซ็นต์สัญญาหรือว่าตอนที่ sign on เพื่อไปทำงานเรือนี่ได้อ่านกันบ้างหรือเปล่าว่าเขาเขียนอะไรบ้างและเราได้เซ็นต์ตกลงอะไรไปบ้าง เพราะว่าในหนังสือสัญญาการจ้างงานก็เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าเราเองเนี่ยตกลงที่จะทำงานวันละ 13 ชั่วโมงครับ และบริษัทก็ยังสามารถให้เราทำงานล่วงเวลาได้อีกด้วยถ้ามีเหตุหรือมีงานที่จำเป็น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นในหนึ่งเดือนเราจะต้องไม่ทำงานเกิน 390 ชั่วโมงครับ นี่คือสิทธิของเราที่เราน่าจะรู้ก่อนที่จะไปว่าใครเขานะครับ
     แต่ก็อีกนะแหละครับ มาดูเรื่องเวลาของการทำงานกันหน่อยพอเอาไว้ประดับความรู้ก็ดีหรือเอาไว้บอกกล่าวกับหัวหน้างานที่ใช้แบบไม่ดูเวล่ำเวลาก็ได้ครับ แต่ว่าต้องพูดให้เป็นและก็ต้องรู้จักเวลาที่จะพูดด้วยนะครับ
****โดยส่วนใหญ่แล้วเขาเป็นกฎเลยแหละว่าจะไม่ให้ crew member ทำงานต่อเนื่องกันเกิน 5 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่หัวหน้างานด้วยว่าจะมีวิธีการบอกกล่าวกับลูกน้องของตนอย่างไรในกรณีที่จะต้องขอให้ใครทำงานเกิน 5 ชั่วโมง
****ภายในหนึ่งวัน [รอบ 24 ชั่วโมง] เราจะต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 10 ชั่วโมง นี่ก็คือสิทธิที่ควรรู้ไว้เหมือนกัน นั้นก็หมายความว่า เราสามารถทำงานได้ถึงวันละ 14 ชั่วโมงเลยนะ
****ภายใน 7 วัน เราจะต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 77 ชั่วโมง พูดง่ายๆก็คือเราสามารถทำงานได้ถึงวันละ 13 ชั่วโมงทุกวันติดต่อกันได้เป็นอาทิตย์เลยนะ
****และก็ภายในหนึ่งเดือน เราจะต้องไม่ทำงานมากกว่า 390 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นยกเว้นจะมีการร้องขอจากบริษัทหรือหัวหน้างาน
     ทีนี้ก็ลองมองย้อนกลับไปดูอีกทีซิว่าเราทำงานเกิน 390 ชั่วโมงต่อเดือนหรือเปล่า ถ้าถามน้านะสมัยน้าอยู่โรงแรมที่เมืองไทย น้าเคยทำงานต่อเนื่องกันตั้งเป็นอาทิตย์แบบว่ากินนอนอยู่ที่โรงแรมไปเลยก็หลายครั้ง ถ้านับชั่วโมงก็น่าจะไม่ต่ำกว่า450-500 ชั่วโมง แน่นอน แต่ว่าตั้งแต่น้าทำงานเรือมาจนถึงปัจจุบัน น้ายังไม่เคยทำงานเกิน 390 ชั่วโมงเลยซักที เฉลี่ยชั่วโมงการทำงานของน้าเมื่อปีที่แล้วน้าคิดว่าน่าจะอยู่ที่ 280-300 ชั่วโมงต่อเดือน บางแผนกอาจจะไม่น้อยขนาดนี้แต่น้าก็เชื่อว่าไม่น่าจะถึงหรือเกิน 390 ชั่วโมงครับ แต่ต่อให้ถึงนั่นมันก็คือข้อตกลงที่เราทำไว้แล้วในวันเซ็นต์สัญญาไม่ใช่หรือครับ
     งานเรือนั้นไม่มีอิสระเลยเหมือนติดคุก เอออันนี้น้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่ามันหมายถึงอย่างไร น้าก็ไปเที่ยวมาแล้วเกือบจะทั่วโลก น้าก็ได้ออกไปทุกที่ที่น้าอยากจะไป ได้ไปเห็นได้ไปสัมผัสมาแล้วเยอะแยะมากมาย และน้ามองไปรอบๆตัวน้ามันก็ไม่ใช่น้าคนเดียวนี่นา ที่ออกมาดูมาเที่ยวน้ามองไปทางไหนส่วนใหญ่แล้วน้าก็เห็นลูกเรือด้วยกันทั้งนั้นที่ออกมาเย้วๆ กันเต็มไปหมด ไม่มีใครโดนขังหรือกักบริเวณหรอกยกเว้นบางกรณีที่คุณไปทำผิดวินัย เช่นทำบัตร laminex [บัตรประจำตัวใช้เข้าออกเรือ] ก็จะหมดสิทธิออกนอกเรือจนกว่าจะได้บัตรใหม่ หรือว่าคุณกลับมาเรือสายกว่าเวลาที่เขากำหนดสำหรับลูกเรืออันนี้คุณก็ต้องโดนยึดบัตร laminex อีกเช่นกัน นอกจากนี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีกรณีไหนที่เขาไม่ให้คุณออกไปเที่ยวหรอกครับ
     เอาล่ะวันนี้ก็น่าจะได้เข้าใจอะไรกันขึ้นมาบ้างสำหรับน้องใหม่ที่กำลังจะเข้ามาสู่ชมรมเดียวกัน ส่วนพี่ใหญ่หรือใครที่คิดว่ามีข้อมูลอะไรใหม่ๆ หรือใครคิดว่าไอ้ที่น้าได้พูดมานี่มันถูกหรือมันผิดยังงัย ก็เขียน comment ไว้ได้เลยนะ น้าจะได้เอามาบอกกล่าวเผยแพร่ให้กับทุกๆคน

เชือกแค่ไม่กี่เส้นนี่แหละที่ผูกเรือไว้ตอนที่เขาฝั่ง

Wednesday, May 5, 2010

งานเรือนั้นหนักจริงหรือ?????

      หวัดดีอีกรอบครับ พี่น้องชาวเรือทุกคนและก็เช่นเคยครับขอแนะนำทั้งน้องใหม่และน้องเก่าได้ช่วยกันเข้าไปอ่านในห้วข้อ thaiseaman club กันหน่อยนะครับจะได้รู้ความเคลื่อนไหวว่าปีหน้าเมษายนนี้เราจะทำอะไรกัน ยังงัยก็ยังเปิดกว้างสำหรับคำแนะนำของทุกๆคนนะครับ      เอาล่ะวันนี้น้าจะมาขอพูดอะไรที่มันสวนกระแสกับหลายๆคนหน่อยก็แล้วกันครับ งานเรือนั้นโครต หนักเลย งานเรือนั้นโหดมาก ทำงานทั้งวันแทบไม่ได้หยุดเลย งานเรือนั้นถ้าไม่แข็งแรงจริงๆทำไม่ได้หรอก งานเรือนั้นต้องใช้ความอดทนสูงมากถึงจะอยู่ได้ งานเรือนั้นต้องทำงานถึงวันละ 13-15 ชั่วโมง วันหยุดก็ไม่มี งานเรือนั้นไม่มีอิสระเหมือนติดคุก งานเรือนั้นไม่มีความยุติธรรมมีแต่ความลำเอียง งานเรือนั้นไม่ปลอดภัยและอันตรายมาก งานเรือนั้นไม่เหมาะกับผู้หญิงอันตรายมาก
     นี่ก็คือคำพูดที่หลายๆคนที่ทำงานเรือหรือกำหลังหาข้อมูลเพื่อจะมาทำงานเรืออาจจะได้ยินกันบ่อยมาก ก่อนอื่นน้าก็ต้องขอแนะนำตัวอีกนิดนึงนะว่า น้าก็ทำงานเรือมาก็เข้าปีที่ 10 แล้ว แต่น้าก็กลับไม่เคยเจอเรื่องอย่างที่ว่ามาซักกะที พูดไปเดี๋ยวก็จะหาว่าเวอร์ มาเดี๋ยวน้าจะแจกแจงให้ดูทีล่ะข้อกันไปเลย
***งานเรือนั้นโคตรหนักเลย คำว่าหนักในที่นี้ผมขอถามนิดเดียวว่ามันหนักขนาดไหนครับ หนักเหมือนพวกกรรมกรที่ต้องแบกหามทั้งวันเพื่อแลกกับเงินแค่วันละไม่ถึงสองร้อยบาท หรือว่า" แค่ " ทำงานหลายชั่วโมง ไม่ได้พักมากเท่าไหร่เพื่อแลกกับเงินเดือนละ 30.000-50.000 บาท สำหรับคนที่พึ่งจะเข้ามาทำงานเรือใหม่โดยเฉพาะ crew cleaner***pantry boy***ACAT  และเพื่อแลกกับเงินเดือนละ 60.000-100.000 บาท สำหรับ JBS.***SRS***Jr.waiter*** Waiter***Bartender มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าถ้าพวกคุณๆทั้งหลายนี่เดินเล่นทำงานไปวันๆคุณก็สามารถมีรายได้ขนาดนี้แล้วผมว่าพวกคุณก็ไม่น่าจะมาทำงานเรือเลย น่าจะเปิดโอกาสให้คนที่เขาอยากจะมาทำงานเพื่อสร้างรายได้น่าจะดีกว่า เพราะในความรู้สึกของน้าแล้ว น้ายังไม่เคยเห็นว่ามันจะหนักอะไรเลย ลองมองดูพวกที่ทำงานในระดับกรรมกร ที่ต้องทำงานทั้งวัน แบกกระสอบข้าวที่ท่าเรือที่หนักตั้ง 70-100 กก. แต่รายได้ที่เขาได้นั้นมันช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเหลือเกิน ก็ถ้าคิดว่าแค่นี้หนักก็น่าจะกลับไปอยู่บ้านแล้วก็นั่งเล่นนอนเล่นให้สบายใจอยู่บ้านเฉยๆนะแหละน้าว่าดีแล้ว
***งานเรือนั้นโหดมาก นี่ก็อีกคำนึงที่พูดกันมาซะจนติดปาก โหดมากไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้หรอก  ตั้งแต่น้าทำงานเรือมาน้าก็ยังไม่เคยเห็นว่ามันจะมีอะไรที่โหด หรือป่าเถื่อนขนาดนั้น หรือเป็นแค่การใช้ วาทะกรรมทางภาษาให้มันฟังดูแล้วน่าตื่นเต้นแค่นั้นเอง ไม่มีหัวหน้างานคนไหนสามารถบังคับให้เราทำงานที่ไม่ถูกต้องต่อหน้าที่ของเราได้ ไม่มีหัวหน้างานคนไหนสามารถหรือบังคับให้เราทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาได้ ไม่มีหัวหน้างานคนไหนที่สามารถมาตะโกนด่าเราได้ ไม่มีหัวหน้างานคนไหนสามารถกระทำหรือแสดงความถ่อยใส่เราได้ ไม่มีหัวหน้างานคนไหนบังคับให้เราทำงานมากกว่าเวลาที่เราควรจะทำได้ ไม่มีหัวหน้างานคนไหนสามารถแต๊ะอั๋งหรือล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวเราได้ ฟังมาจนถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะบอกว่า เคยเจอมาแล้วอย่ามาโกหกกันเลย ครับผมน้าว่ามันก็ต้องเคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้นน่ะแหละ แต่ที่น้ากำลังจะบอกต่อไปก็คือว่า เขามีสิทธิที่จะทำทุกอย่างตามที่น้าได้พูดถึงมาทั้งหมด ถ้าไม่มีใครพูดหรือทักท้วงขึ้นมา แต่ถ้าเรารู้จักที่จะปกป้องและรักษาสิทธิของเรา ใครก็ตามที่ทำสิ่งต่างๆที่น้าได้พูดถึง เขาจะไม่มีสิทธิทันที เอากันเข้าไปงงกันไปใหญ่แล้ว เอาเป็นว่ามาดูกฎกติกาซัก2 ข้อแล้วลองคิดตามนะว่าทำไมน้าถึงมาพูดอย่างนี้
1.บนเรือมีกฎอยู่ว่าห้ามไม่ให้พนักงานทำงานเกิน 5 ชั่วโมงติดกัน ใช่อยู่ว่าบางแผนกก็เห็นๆอยู่ว่าทำงานกันเกิน 5 ชม. ถมเถไป ใช่ครับ ก็เพราะว่าคุณๆ ทั้งหลายคุณยังไม่รู้จักสิทธิของคุณเองเลย ถ้าคุณรู้สึกว่าการทำงานเกิน 5 ชม.มันหนักเกินไปหรือว่ามันโหดเกินไปคุณก็ต้องบอกให้หัวหน้าคุณได้รับรู้ว่าคุณไม่เห็นด้วยที่จะทำงานเกิน 5 ชม. คุณต้องการพักแล้ว เขาก็จะต้องจัดการกับตารางการทำงานคุณใหม่ให้คุณไม่ต้องทำงานเกิน 5 ชม. แต่ว่าถ้าคุณไม่พูดอะไร ได้แต่บ่นกับเพื่อนๆว่าโครตโหดเลย มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาเดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ดูอีกเรื่องเพราะว่ายังเห็นทำหน้างงๆ กันอยู่เลย
****สมมุติว่ามีคนมาตบหัวคุณ คุณก็รู้สึกโกรธมากแต่ว่าคุณก็แค่ได้แต่บ่นกับเพื่อนๆว่า เจ็บใจไอ้หมอนี่มากเลย อยู่ดีๆก็มาตบหัวเราได้ ถ้าคุณทำอย่างนี่ ไอ้คนที่ตบหัวคุณก็ไม่มีความผิด
แต่ว่าถ้ามีคนมาตบหัวคุณแล้ว คุณไปแจ้ง security ให้รับทราบและบอกกับเขาไปเลยว่าคุณยอมไม่ได้นี่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น คุณมากคุณจะไม่ยอมความเด็ดขาด ถ้าคุณทำอย่างนี้ไอ้คนที่ตบหัวคุณก็จะต้องถูกสอบสวนจนถึงที่สุด ไม่ส่งกลับบ้านก็ formal warning จาก Captain ครับผม เห็นความแตกต่างของเหตุการณ์ที่ 1 และเหตุการณ์ที่สองแล้วหรือยังครับ หวังว่าคงหายงง
     งานเรือนั้นถ้าไม่แข็งแรงจริงๆ ทำไม่ได้หรอก อันนี้น้าก็ต้องขอบอกอีกทีน่ะแหละว่ามันไม่ได้หนักหนาอะไรเหมือนการแบบกข้าวสารที่คลองเตยหรอกครับ พวกนั้นต้องแข็งแรงกว่าพวกเราชาวเรือเยอะครับถึงจะไปทำงานตรงนั้นได้ แต่พวกเราน้าขอบอกอีกนิดนึงว่าไม่ใช่ร่างกายครับ ขอแค่คุณไม่ถึงกับว่าเจ็บออดๆแอดๆ ก็พอแล้วครับ มันอยู่ที่ใจแค่นั้นครับ น้าเห็นผู้หญิงคนนึงตัวเล็กมาก อยู่ที่ห้องอาหาร อยากจะบอกชื่อแต่ว่ายังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของ เอาเป็นว่าตัวเล็กมาก แบกถาดอาหารที่ใส่มา 10 จาน น้องเขาก็มองแถบจะไม่เห็นทางแล้ว อยู่บน open deck ก็วิ่งขายเครื่องดื่ม ตลอดเวลาไม่หลบไม่อู้ จนเวลาผ่านไปไม่ถึง 6เดือนน้องเขาก็สามารถได้ปรับตำแหน่ง แต่ไอ้ตัวใหญ่ๆที่บอกว่าน่าจะแข็งแรง หรือว่ามีแต่แรงก็ไม่รู้ กลับได้แต่ยืนมอง เคยถามน้องเขาเหมือนกันว่า ขยันเหลือเกินไม่เหนื่อยบ้างเหรอ สิ่งที่น้องเขาตอบมามันก็เป็นแค่คำง่ายๆนี่แหละ แต่น้าเชื่อว่าถ้าใครคิดเป็นมันก็มีประโยชน์อย่างมากเลย น้องเขาตอบว่า "หนูแค่อยากจะทำให้ดีที่สุด อยากจะขอบคุณบริษัทที่ได้ให้โอกาสหนูได้เข้ามาทำงานที่นี่" นี่แหละง่ายๆ ยังงัยก็ลองไปคิดเอาเองก็แล้วกันนะ เอาไว้เดี๋ยวน้าจะมาต่อให้ครบทุกหัวข้อที่ได้เกริ่นไว้ วันนี้ขอตัวก่อน
   

Monday, May 3, 2010

Venice Italy



บรรยากาศของ venice ที่ st. marco
เป็นเมืองเล็กๆกลางทะเลที่มีคนมาเยี่ยมเยียนในแต่ละวันไม่ต่ำกว่าหมื่นPosted by Picasa

Saturday, May 1, 2010

thaiseaman photo gallery

สวัสดีครับพี่น้องชาวเรือทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานเรืออยู่แล้วหรือว่าอยากจะมาทำงานเรือก็อยากจะรบกวนให้พวกเราช่วยกันเข้าไปอ่านในหัวข้อ thaiseaman club หน่อยก็แล้วกันนะครับ จะได้รู้ว่าปีหน้าเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ บล็อคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แค่เขาไปดูครับเผื่อว่ามีไอเดียอะไรเด็ดหรือว่าอยากให้มีอยากให้เพิ่มอะไร ถ้าไม่เกินความสามารถของน้า น้าก็จะจัดให้ทันทีครับ ถือซะว่ามาช่วยกันออกความคิดเห็นครับ เพราะว่าเว็บใหม่ที่จะทำขึ้นมานี้ประโยชน์โดยรวมก็คือพวกเราทุกๆคนนี่แหละ จะได้มีพื้นที่ในการพบปะแลกเปลี่ยนและคนคว้าหาข้อมูลต่างๆทั้งเกี่ยวกับเรือ เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ เกี่ยวกับบ้านเมือง เกี่ยวกับเพื่อนฝูง และก็อีกมากมาย ลองเข้าไปดูก็แล้วกัน น้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆอย่างที่น้าอาจจะมองข้ามไป ยังงัยก็ช่วยกันเขามาดูและก็ฝากความคิดเห็นไว้ด้วยก็จะเป็นการดีครับ ถ้าข้อมูลครบเมื่อไหร่ แต่ว่ายังงัย เมษายน 2554 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแน่นอน จะเปิดที่ไหนอย่างไร และวันไหนรับรองว่าพี่น้องชาวเรือได้รับทราบ และได้รับเชิญกันถ้วนหน้าครับ ถ้าใครมีโอกาสหรือพักร้อนอยู่บ้านพอดี ถึงวันนั้นก็ต้องขอเรียนเชิญนะครับ แต่ว่าวันนั้นคิดว่าน้าจะมีคนที่สนใจจะไปทำงานเรือถูกเชิญมามากกว่าคนที่ทำงานเรืออยู่แล้วแน่นอน เพราะว่าน้าดูจากตัวเลขสมาชิกที่เข้ามาแล้วจะมีคนที่ทำงานเรืออยู่แค่ไม่ถึง 30 % ที่เหลืออีก 70 % นี่จะเป็นคนที่กำลังอยากจะไปทำงานเรือ เพราะว่าเขากำลังหาข้อมูลซึ่งก็เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้มารับรู้และสัมผัสพร้อมสอบถามข้อมูลจากคนที่เคยไปทำงานเรือมาแล้วได้โดยตรง ยังงัยก็ต้องขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆคนที่ได้ติดตามกันมาตลอด ใครที่ติดตามน้ามาโดยตลอด รับรองว่าเดือนเมษายน 2554 ได้เจอตัวน้าเป็นๆ แน่นอนครับ
new york เป็นเมืองที่ดูวุ่นวายอีกเมืองนึงที่ใครๆ ก็อยากจะมาสัมผัส


นี่ก็อีกหนึ่งมุมมองของ new york

ฝั่งที่เราเห็นนี่คือ new york ที่ทุกคนรู้จัก แต่ว่าแค่ข้ามสะพานมาฝั้งนี้ก็จะเป็นคนละเรื่องเลย จะเรียกว่าบ้านนอกหรืออะไรก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่


เรือวิ่งผ่านค่อนข้างไกลมาก นี่ขนาดกล้องน้าก็ซูมได้ตั้งเยอะนะเนี่ย ยังเห็นแค่นี่เอง

อีกหนึ่งมุมมอง

ลอดไต้สะพานทีก็มีลุ้นทุกที


royal caribbean จอดอยู่ที่ st. thomas


เจ้าที่ประจำอยู่ที่ st.thomas มีเยอะมากบางวันเจอตัวใหญ่ก็ยาวเป็นเมตรก็มี [รวมหางด้วยนะ]

เป็นเรือลูกผสมจะใช้เครื่องยนต์เวลาเข้าออกฝั่งพอติดลมแล้วก็จะใช้ใบเรือในการขับเคลื่อน


บั้นท้ายนี้ดูยังงัยกี่ปีกี่ปีก็ไม่เคยเบื่อ