Wednesday, February 9, 2011

หวัดดีอีกครั้งสำหรับทุกๆคนที่พึ่งจะเข้ามาส่วนใครที่แวะเวียนมาเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ยินดีต้อนรับเช่นเคย ตอนนี้จะขอเล่าเหตุการณ์ที่คนที่กำลังจะเข้ามาทำงานเรือควรจะทราบและทำความเข้าใจกันไว้หน่อยนึง ถ้าใครที่ติดตามคนที่ทำงานเรือมาก่อนหรือว่าอ่านบทความของน้ามาก่่อนตั้งแต่ปีก่อนโน้น ก็คงจะพอมีข้อมูลอยู่บ้างแต่ว่าสิ่งที่น้ากำลังจะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นข้อมูลใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ก่อนที่น้าจะกลับมาพักร้อนนี่เอง
งานเรือนั้นก็คืองานบริการดีๆนี่แหละ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของการบริการก็คือต้องบริการให้ลูกค้าได้รับความประทับใจและความพึงพอใจให้เขากลับมาใช้บริการอีก เราจะได้มีงานทำกันต่อไป จะพูดย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนสมัยที่น้าเริ่มเข้ามาทำงานเรือใหม่ๆ ตอนนั้นธุรกิจเรือสำราญยังไม่ใหญ่โตและเยอะมากมายขนาดนี้ ตอนนั้นน้าจำได้ว่าเห็นเรือวิ่งกันอยู่แค่ไม่กี่บริษัทเอง หลักๆที่เห็นกันอยู่ในช่วงนั้นกล้าพูดว่าไม่ถึง 10 บริษัทที่ใหญ่ๆ และก็มีเรือวิ่งอยู่ทั่วโลก และลูกค้าที่จะมาเที่ยวเรือเมื่อสมัยก่อน [ 10ปีที่แล้ว ] จะเริ่มต้นกันที่ระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับบน เพราะว่าราคาค่าโดยสาร Cruise ในตอนนั้นยังถือว่าค่อนข้างสูงอยู่ และการแข่งขันก็ยังไม่สูงมากทำให้เรือส่วนใหญ่เน้นการบริการเพื่อดึงลูกค้า ไม่แข่งกันในเรื่องราคา แต่ว่าพอเวลาผ่านไปได้ซักพักนึงก็เกิดบริษัทเรือสำราญเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งเล็กและใหญ่ และจำนวนเรือที่มากขึ้นนี่เองในแต่ละเดือนต้องหาลูกค้ามาเติมเต็มให้ได้อย่าลืมนะว่าเรือลำนึงอย่างน้อยก็จุลูกค้าตั้งแต่ น้อยสุดก็ 670 คน ไปจนถึง 3500 คน นี่แค่บริษัทที่น้าทำงานอยู่นะ และที่บริษัทที่น้าทำอยู่นี่ก็มีเรืออยู่ประมาณ 17 ลำ​ ณ วันที่น้าเขียนบล็อคนี้ เฉพาะบริษัทนี้บริษัทเดียวเขาต้องหาลูกค้าให้ได้อย่างน้อย 35,000 คนเพื่อเติมเต็มเรือทั้ง 17 ลำ ภายในระยะเวลา แค่1 อาทิตย์- 2อาทิตย์ แล้วลองมองนึกภาพตามก็แล้วกันตอนนี้มีบริษัทเรือสำราญทั้งเล็กและใหญ่อยู่ทั่วโลกเนี่ยน้าไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่กล้าพูดว่าหลักร้อย และแต่ละบริษัทไม่ได้มีเรือแค่ลำเดียว และเรือลำที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็จุลูกค้าได้ตั้ง 6,000 คน และบริษัทนี้มีอยู่ตั้ง 2 ลำ ลองคำณวนดูเอาเองก็แล้วกันว่าเท่าไหร่ งงกันมั๋ยนี่ ตามทันกันมั๋ยแค่อยากจะบอกว่าตอนนี้วงการเรือสำราญมันได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเมื่อก่อนเยอะพอสมควร เมื่อก่อนคนที่จะไปเที่ยวเรือสำราญคือไปพักร้อน พักผ่อนได้วันหยุดมาหนึ่งปีมาเที่ยวกันครั้งหรือสองครั้ง เรือสำราญในยุคนั้นก็อยู่ได้แล้ว เพราะว่าพอลูกค้าที่มาเที่ยวตอนนั้นจ่ายค่าโดยสารแพงกว่าตอนนี้มาก และลูกค้าที่มาเที่ยวเมื่อ 10 ปีก่อนโน้นก็คือลูกค้าที่มากินมาเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่มาอยู่มากินแบบประหยัดเหมือนทุกวันนี้ ตอนนี้ตลาดเรือสำราญไม่ได้อยู่ที่หนุ่มสาววัยทำงานหรือคู่ Honeymoon เหมือนเมื่อก่อนพูดง่ายๆก็คือว่าไม่ทันกินแล้ว จึงหันเป้าหมายหลักไปที่คนเกษียณอายุ ก็คือคนแก่ที่ไม่ได้ทำงานแล้ว อยู่บ้านก็เหงาบางคนดูแลตัวเองก็แทบจะไม่ได้ ก็เลยเอาจุดขายตรงนี้มาขายให้ลูกค้ากลุ่มนี้ว่ามาอยู่มากินบนเรือดีกว่าราคาถูกกว่าใช้ชีวิตบนฝังอีก มีคนคอยดูแลทั้งเรื่องอาหารการกิน และที่หลับที่นอน นี่คือจุดเปลี่ยนของเรือสำราญในยุคปัจจุบันและต่อไปในอนาคต พูดมาตั้งนานมีใครจับประเด็นได้หรือเปล่านี่ เอาเป็นว่ามามีส่วนร่วมกันหน่อยดีกว่าเดี๋ยวครั้งต่อไปน้าจะเฉลยว่าประเด็นที่เราต้องพูดกันเรื่องนี้มันคืออะไร เอาเป็นว่าใครคิดออกก่อน หรือใครคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ช่วย post comment ไว้ท้ายบทความนี้ด้วยแล้วเดี๋ยวน้าจะกลับมาเฉลยให้ วันนี้ขอไปทำงานต่อก่อน






เอามาฝากให้ดูกันแก้เหงาเดี๋ยวไม่นานเกินรอภาพทุกภาพจะรวมกันอยู่ที่เดียวจะได้ดูกันให้ตาแฉะไปเลย และก็เหมือนเดิมนะใครที่มีรูปอะไรอยากจะแบ่งปันก็ส่งรูปมาให้ได้เลยตาม e-mail นี้ thaiseaman2009@gmail.com สวยไม่สวยไม่เป็นไรเอามาแบ่งๆกันชม

Monday, February 7, 2011

บอกกล่าวเล่าเรื่อง

ก็ขอบอกกล่าวเล่าเรื่องเดิมๆต่ออีกซักนิดนึง สำหรับคนที่พึ่งจะได้มีโอกาสผ่านเข้ามาในบล็อคนี้ จุดมุ่งหมายของบล็อคนี้ก็เพื่อจะเป็นแหล่งข้อมูลให้น้องๆและผู้สนใจทั่วไปที่สนใจจะมาทำงานเรือหรือว่าทำงานเรืออยู่แล้วได้เข้ามาหาข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ข้อมูลทั้งหมดที่เห็นอยู่นะที่นี้ได้มาทั้งจากการบอกเล่ากันต่อๆมา และจากที่น้าได้เห็นได้สัมผัสมา เพราะฉนั้นใครที่ทำงานเรืออยู่มีข้อมูลอะไรอยากจะบอกอยากจะแนะนำก็ยังยินดีต้อนรับอยู่เหมือนเดิม ยังงัยใครท่ี่พึ่งเข้ามาก็ลองเข้าไปอ่านในหัวข้อ Thaiseaman Club ดูก็แล้วกันว่าต่อไปนั้นเรากำลังทำอะไรอยู่ ทีแรกก็ว่าจะทำให้ทันเมษานี้ แต่ว่าน้าดันเปลี่ยนใจมาใช้ Mac ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งเรียนรู้กันใหม่อีกซักพักนึงไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปิดเว็บได้ทันหรือเปล่า ยังงัยซะก็จะพยายามเพราะฉนั้นใครมีอะไรดีๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ภาพหรือคลิปวีดีโอก็ช่วยๆส่งกันเข้ามาได้นะ ข้อมูลพร้อมเมื่อไหร่ก็จะได้เริ่มให้เป็นรูปเป็นร่างเสียที อันนี้พูดถึงทุกๆคนเลยนะไม่ว่าจะอยู่บริษัทไหนก็ยินดีต้อนรับครับยังงัยก็ฝากด้วยก็แล้วกัน





ไม่ว่าจะเป็นรูปตอนทำงานหรือว่าสังสรรค์หรรษา หรือวาตอนออกไปเที่ยวข้างนอก หรือว่าสถานที่สวยๆที่อยากให้คนอื่นได้เห็น ก็ช่วยๆส่งกันเข้ามา เรียกว่าเอามาผลัดกันชมสิ่งที่เราเห็นอาจจะดูเหมือนว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่สำหรับคนอื่นที่เขายังไม่มีโอกาสได้ไปเห็นไปสัมผัส เขาจะมองรูปนั้นคนล่ะความรู้สึกกับเรา เพราะฉนั้นสวยไม่สวยก็ส่งมาได้ครับ




ภาพเรือในมุมมองต่างๆ อันนี้ชอบมากเพราะว่าจริงๆแล้วน้าก็ชอบถ่ายรูปเรือสะสมไว้ทุกครั้งที่เจอเรือลำไหนที่ยังไม่เคยเจอจะต้องถ่ายรูปไว้ตลอดเลย เยอะมากเลยแหละ ดูยังงัยก็ไม่เบื่อดูมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวเบื่องวันไหนก็คงไม่ได้มาเจอกันอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ




หรือสถานที่ต่างๆที่เราได้มีโอกาสออกไปเที่ยว ก็เก็บมากันคนละรูปสองรูป บอกสถานที่และก็เจ้าของภาพมาด้วยก็จะเป็นการดี จะได้รู้ว่าใครที่ไหนอย่างไร เอาล่ะวันนี้คงจะมีแค่นี้ก่อนขอไปนั่งทำงานต่อ

Sunday, February 6, 2011

อาหารการกินบนเรือ

วันนี้ขอพูดเรื่องง่ายๆ แต่ว่าค่อนข้างที่จะสำคัญเป็นอย่างมากเลยแหละสำหรับคนทำงานเรือ ก็อย่างที่บอกไว้ในบทก่อนแล้วว่าอาหารก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนไทยที่อยู่บนเรือไม่ค่อยจะมีความสุขกัน ก็ลองนึกสภาพดูเอาเองก็แล้วกันทำงานมาเหนื่อยๆ มีเวลาพักกินข้าวก็ไม่นาน แต่พอเดินมาดูกับข้าวก็แทบจะหาอะไรรับทานไม่ได้เลย มันยิ่งทำให้ความเหนื่อยมันเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย แล้วจะทำยังงัยล่ะทีนี้ก็ในเมื่อกฎบนเรือนี่เขาก็ห้ามทำอาหารในห้องอย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แค่เอาอาหารจากที่อื่นลงไปกินในห้องถ้าโดนจับได้ก็เป็นเรื่องเป็นราวเลยแหละ ในบางกรณีก็รุ่นแรงถึงขั้นโดนส่งกลับบ้านเลยก็มีนะ อันนี้เรื่องจริง อ้าวแล้วทีนี้ทำงัยดีล่ะ อาหารที่เตรียมไว้ให้ก็ไม่ได้เรื่องจะทำกับข้าวเองก็ไม่ได้ อันนี้ไม่ได้แนะนำนะ และก็ไม่ได้บอกเคล็ดลับอะไรหรอก จะทำอะไรก็ทำให้เป็นทำให้ฉลาดนิดนึง พูดง่ายๆก็คือว่าอย่าให้ใครรู้ใครเห็นนะแหละเป็นดีที่สุด ทำเสร็จกินเสร็จล้างเก็บให้เรียบร้อย เก็บข้าวเก็บของนิดนึงให้มันเรียบร้อย จะนั่งดื่มนั่งคุยกันต่อก็ไม่มีใครว่า พูดง่ายๆว่าอย่าทำให้มันเอิกเกริก และก็อย่าทิ้งหลักฐานไว้ คิดไว้อยู่เสมอว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี่มันไม่ถูกต้องนะ  มีเรื่องตัวอย่างจะเล่าให้ฟังก็เป็นเพื่อนคนไทยด้วยกันนี่แหละ ใครๆเขาก็รู้กันหมดนะแหละว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบทำกับข้าวกินกันในห้อง ถ้าไม่เห็นก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ก็อย่างที่บอกนะแหละว่าทำให้ดีทำให้เนียน แต่บังเอิญว่าไอ้คนๆที่กำลังจะเล่าให้ฟังนี้ เขาคงคิดว่าเขาอยู่ที่บ้านกินข้าวเสร็จก็เลยเอาจานกับข้าวที่เหลือยังไม่ได้ล้างวางไว้ในห้องแบบไม่เกรงใจใครก็คงกะว่าจะมาล้างทีหลังหรือกะว่าจะกลับมากินต่อก็ไม่รู้ แต่ว่าคราวซวยมันมาเยือนก็บังเอิญว่าวันนั้น แผนก ACAT เขาต้องเอาน้ำยามาหยอดในห้องน้ำซึ่งเขามี Master Key และเขาสามารถเข้าห้องได้เพราะว่ามันเป็นหน้าทีของเขา พอเขาเปิดห้องเข้าไปแค่น้ันแหละก็เจอเข้าอย่างจังเลย และที่สำคัญบังเอิญว่ามากันหลายคนและหัวหน้าก็ได้กลิ่นเลยเข้ามาดู ก็สรุปแล้วว่าจบข่าวครับ ก็โดน Warnning ไปตามระเบียบ ถ้าเจอพวก Security ที่มันเคี่ยวๆนะ เรื่องแค่นี้เขาก็สามารถส่งกลับบ้านได้ ก็อย่างที่บอกนะแหละทำได้แต่ง่ายๆ อย่าให้ใครเห็นอย่าทิ้งหลักฐาน และก็อย่าไว้ใจใครก็แค่นั้นแหละ และก็หัดเว้นช่วงบ้าง และก็อย่าทำอะไรที่มันหอมฟุ้งไปสามบ้านเจ็ดบ้านก็แล้วกันอันนี้เตือนไว้ก่อน
อาหารบนเรือนั้นสำคัญมากเลยแหละเพราะว่ามันไม่ค่อยถูกปากคนไทยซะเท่าไหร่เพราะฉนั้นสำหรับน้องใหม่ที่กำลังจะมาทำงานเรือก็เตรียมอาหารการกินมาบ้างพอสมควรก็ดีนะ เน้นเป็นของแห้งและก็ไม่หนักมากก็จะได้ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าของเรา ถ้าจะเอาของที่เป็นน้ำเช่นน้ำปลาน้ำพริกก็ตอนจัดกระเป๋าก็ห่อหุ้มให้ดีนะ น้ำปลาแตกขวดเดียวนี่เหม็นไปทั้งกระเป๋าเลยนะ แล้วอย่าคิดว่ามันจะหายเหม็นเร็วนะ และเราก็จะเป็นบุคคลที่ทุกคนบนเรือจะรู้จักเป็นอย่างดีตั้งแต่วันแรกเลย

Saturday, February 5, 2011

ทักทายกันหน่อย

หวัดดีครับพี่น้องชาวเรือทั้งหลาย หวังว่ายังคงติดตามกันอยู่ ก็อย่างที่บอกนะแหละไม่ได้เขียนบล็อคมาก็เกือบปีแล้ว แต่ก็ยังพอมีน้องๆ mail เข้ามาสอบถามกันบ้างพอสมควรก็ได้แต่บอกให้มาอ่านข้อมูลเดิมก่อน เอาเป็นว่านับจากนี้น้าก็จะพยายามเอาข้อมูลที่ได้ไปเจออะไรใหม่ๆมา ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือเรื่องเดิมๆสำหรับน้านะแหละ แต่คิดว่ามันอาจจะใหม่สำหรับน้องใหม่หลายๆคน งานเรือนี่จะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากมันก็ยาก มันก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมายจากโรงแรมหรอก แต่มันต่างกันเยอะเลยอย่าพึ่งงงนะอ่านไปเรื่อยๆ อันดับแรกเลยที่มันดูเหมือนกันก็คือมันเป็นงานบริการเหมือนกันเหมือนๆกับโรงแรมทั่วไปนี่แหละ แต่สิ่งที่มันไม่เหมือนกันก็คือว่าเรือมันลอยอยู่ในน้ำและมันสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังที่ต่างๆได้ มันจึงได้เปรียบโรงแรม ที่จะมีแค่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โรงแรมจะต้องทำหน้าที่ให้ลูกค้ามาหาที่โรงแรมในฤดูกาลต่างๆ แต่ว่าเรือมันจะย้ายไปหาลูกค้าเช่นเรือลำนึงภายในหนึ่งปีไปตั้งเกือบค่อนโลก ก็ช่วงไหนลูกค้าอยู่ไหนหรือมีหน้าท่องเที่ยวที่ไหนเขาก็เตรียมตัวจัดตารางการเดินเรือไว้เรียบร้อยแล้ว นี่คือข้อได้เปรียบ แต่มีอยู่อย่างนึงที่ทั้งโรงแรมและเรือต้องทำเหมือนกันก็คือการบริการลูกค้า และที่สำคัญทำยังงัยให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและกลับมาใช้บริการใหม่ 
      แล้วเรื่องการทำงานบนเรือล่ะมันต่างกันมากไหมกับการทำงานบนโรงแรม อันนี้ก็เหมือนอย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้ววันนี้เผื่อว่าน้องใหม่เข้ามาดูขอเล่าแบบคร่าวๆก็แล้วกัน ไม่ว่าการงานสาขาอาชีพอะไรในโลกนี้ และไม่ว่าคุณจะไปทำงานที่ไหนให้ลองสังเกตดูให้ดีว่าภายในองค์กรหนึ่งนั้นมันจะมีคนอยู่ประมาณ 3-4 กลุ่ม คือพวกที่อยู่เฉยๆ ไม่ค่อยกระตือรือรน แล้วก็พวกที่ขี้เกียจอันนี้ไม่ต้องอธิบายว่าขี้เกียจยังงัย อีกพวกก็จะเป็นตัวยืนขององค์กรพวกขยันว่างั้นเหอะคนกลุ่มนี้ในองค์กรหนึ่งจะมีอยู่ไม่กี่คน เมื่อเทียบกับสองกลุ่มแรกน้อยกว่าเยอะเลย และกลุ่มสุดทายก็จะเป็นพวกที่ไม่ค่อยจะจัดกลุ่มเข้ากับกลุ่มใดส่วนใหญ่จะทำให้งานเสียซะมากกว่า พูดง่ายๆก็คือไอ้พวกที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำว่างั้น เพราะฉนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะต้องไปเจอเพื่อนร่วมงานแบบไหนดีหรือไม่ดี ไปอยู่ที่ไหนก็เจอ แต่สิ่งที่เราจะไปเจอและก็เกิดเป็นข้อแตกต่างก็คือ ภาษาที่ต้องพยายามเข้าใจให้ได้ว่ามันพูดอะไร วัฒนธรรม มารยาท การให้เกียรติ กฏและกติกาที่ค่อนข้างจะเข้มงวดและค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเรื่องไหนที่เกี่ยวกับความปลอดภัยบนเรือแล้วล่ะก็ขอแนะนำว่าให้ทำตามซึ่งบางเรื่องอาจจะดูโครตโง่เลยในความรู้สึกของเราแต่ถ้าบอกว่าเกี่ยวกับความปลอดภัยแล้วทำตามเหอะเดี๋ยวจะว่าน้าไม่เตือน และก็เรื่องที่สำคัญอีกอย่างนึงที่ค่อนข้างจะเป็นปัญหาใหญ่เลยสำหรับคนไทยก็คือเรื่องอาหารการกิน ไม่ได้บอกว่าเขาไม่มีอะไรให้กินนะ อาหารนะมันมี แต่ว่ามันไม่ได้ปรุงมาเพือให้พวกเราได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย มันปรุงมาให้สุกก็แค่นั้นเอง Cook ในภาษาอังกฤษนั้นแปลว่า ทำให้สุก สุกแล้วอะไรทำนองนี้ แล้วไอ้ Cook ที่อยู่บนเรือมันก็ทำได้ครบถ้วนตามที่ตำแหน่งมันระบุไว้แล้วเอาอาหารออกมาจากตู้เย็น ทำให้สุก ก็เอามาให้กินได้แล้ว หลายคนที่ทำงานเรือมาซักพักก็คงจะรู้ว่าที่น้าบอกว่าทำให้สุกมันหมายถึงอะไร ก็คือว่ามันไม่มีรสชาดอะไรเลยแหละ แต่มันสุกแล้วนะว่ามันก็ไม่ได้ เพราะว่าหน้าทีมันก็คือ Cook
      เรื่องงานนะไม่เท่าไหรหรอกสำหรับคนไทย บอกว่าแบกถาดหนัก เบิกของหนัก ก็ให้ลองมองย้อนไปดูพวกที่เขาทำงานแบกหามที่รับรายได้วันละแค่ไม่กี่บาท ในบ้านเรา กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นอันไหนมันหนักกว่ากัน หนักยังงัยก็ไม่หนักเท่าแบกข้าวสารที่คลองเตยหรอก คนไทยจะมีปัญหาหรือตกม้าตายหมายถึงไปไม่ไกลในตำแหน่งหน้าที่ก็มีหลักๆอยู่ไม่กี่เรื่อง ที่แน่ไม่ใช่เรื่องเนื้องาน ภาษาสำหรับคนไทยในการทำงานในระดับต้นๆ นั้นน้าเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถพอที่จะรับฟังสื่อสารและก็ถ่ายทอดกันรู้เรื่อง แต่ถ้าคุณจะขี้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่านั้นมันไม่ใช่แค่สื่อสารกันรู้เรื่องแค่นั้น คุณจะต้องมีความสามารถในการสอนงาน ถ่ายทอดข้อมูลที่ได้รับมาจากที่ประชุมหรือ MEMO / MAIL คุณจะต้องมีความสามารถในเชิงจิตวิทยาในการพูดให้ลูกน้องทำงานให้คุณ พูดง่ายๆคือซื้อใจลูกน้อง คุณจะต้องมีความมั่นใจที่จะพูดต่อหน้าผู้คนเยอะๆ เช่น Meeting / Training และงานคุณก็ไม่ใช่แค่งานที่คุณเคยทำมาก่อน หลังจากเลิกงานและก่อนเริ่มงานคุณก็จะต้องมาจัดการกับเอกสารทั้งหลายแหล่ให้เรียบร้อย ข้อมูลทุกอย่างที่คุณรู้มาหรือข้อมูลทุกอย่างในเอกสารที่คุณได้มาลูกน้องของคุณก็ต้องรู้จากคุณ และอีกนิดนึงมันก็จะต้องมีการทำ Report ด้วยในบางกรณี และที่สำคัญของทุกอย่างเอกสารต่างๆนี่ณ เวลานี้เขาจะใช้ Computer เป็นตัวช่วยและเก็บข้อมูลกันหมดแล้ว เพราะฉนั้นเวลาที่คนอื่นเขาเห็นน้าเดินไปเดินมาก็จะโดนเพื่อแซวตลอดว่า อะไรกันนี่วันๆเอาแต่เดินไปเดินมา งานนะมันมีให้ทำแต่ถ้าเราเป็นงาน งานมันก็จะทำแทนเราเองนะแหละ อันนี้หมายถึงน้านะ ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็คืออยากจะบอกว่าทุกคนมีโอกาสที่จะก้าวหน้ามีโอกาสที่จะเป็นระดับหัวหน้าได้เหมือนกัน แต่ว่านอกจากทำงานหนักแล้ว ต้องเตรียมความพร้อมในสิ่งเหล่านี้ที่น้าได้บอกไว้แบบคร่าวๆก็แล้วกัน ถ้าทำตรงนี้ได้หมด ซักวันนึงเราก็ได้ทำงานไปเดินเล่นไป