หวัดดีอีกครั้งสำหรับทุกๆคนที่พึ่งจะเข้ามาส่วนใครที่แวะเวียนมาเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ยินดีต้อนรับเช่นเคย ตอนนี้จะขอเล่าเหตุการณ์ที่คนที่กำลังจะเข้ามาทำงานเรือควรจะทราบและทำความเข้าใจกันไว้หน่อยนึง ถ้าใครที่ติดตามคนที่ทำงานเรือมาก่อนหรือว่าอ่านบทความของน้ามาก่่อนตั้งแต่ปีก่อนโน้น ก็คงจะพอมีข้อมูลอยู่บ้างแต่ว่าสิ่งที่น้ากำลังจะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นข้อมูลใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ก่อนที่น้าจะกลับมาพักร้อนนี่เอง
งานเรือนั้นก็คืองานบริการดีๆนี่แหละ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของการบริการก็คือต้องบริการให้ลูกค้าได้รับความประทับใจและความพึงพอใจให้เขากลับมาใช้บริการอีก เราจะได้มีงานทำกันต่อไป จะพูดย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนสมัยที่น้าเริ่มเข้ามาทำงานเรือใหม่ๆ ตอนนั้นธุรกิจเรือสำราญยังไม่ใหญ่โตและเยอะมากมายขนาดนี้ ตอนนั้นน้าจำได้ว่าเห็นเรือวิ่งกันอยู่แค่ไม่กี่บริษัทเอง หลักๆที่เห็นกันอยู่ในช่วงนั้นกล้าพูดว่าไม่ถึง 10 บริษัทที่ใหญ่ๆ และก็มีเรือวิ่งอยู่ทั่วโลก และลูกค้าที่จะมาเที่ยวเรือเมื่อสมัยก่อน [ 10ปีที่แล้ว ] จะเริ่มต้นกันที่ระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับบน เพราะว่าราคาค่าโดยสาร Cruise ในตอนนั้นยังถือว่าค่อนข้างสูงอยู่ และการแข่งขันก็ยังไม่สูงมากทำให้เรือส่วนใหญ่เน้นการบริการเพื่อดึงลูกค้า ไม่แข่งกันในเรื่องราคา แต่ว่าพอเวลาผ่านไปได้ซักพักนึงก็เกิดบริษัทเรือสำราญเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งเล็กและใหญ่ และจำนวนเรือที่มากขึ้นนี่เองในแต่ละเดือนต้องหาลูกค้ามาเติมเต็มให้ได้อย่าลืมนะว่าเรือลำนึงอย่างน้อยก็จุลูกค้าตั้งแต่ น้อยสุดก็ 670 คน ไปจนถึง 3500 คน นี่แค่บริษัทที่น้าทำงานอยู่นะ และที่บริษัทที่น้าทำอยู่นี่ก็มีเรืออยู่ประมาณ 17 ลำ ณ วันที่น้าเขียนบล็อคนี้ เฉพาะบริษัทนี้บริษัทเดียวเขาต้องหาลูกค้าให้ได้อย่างน้อย 35,000 คนเพื่อเติมเต็มเรือทั้ง 17 ลำ ภายในระยะเวลา แค่1 อาทิตย์- 2อาทิตย์ แล้วลองมองนึกภาพตามก็แล้วกันตอนนี้มีบริษัทเรือสำราญทั้งเล็กและใหญ่อยู่ทั่วโลกเนี่ยน้าไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่กล้าพูดว่าหลักร้อย และแต่ละบริษัทไม่ได้มีเรือแค่ลำเดียว และเรือลำที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็จุลูกค้าได้ตั้ง 6,000 คน และบริษัทนี้มีอยู่ตั้ง 2 ลำ ลองคำณวนดูเอาเองก็แล้วกันว่าเท่าไหร่ งงกันมั๋ยนี่ ตามทันกันมั๋ยแค่อยากจะบอกว่าตอนนี้วงการเรือสำราญมันได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเมื่อก่อนเยอะพอสมควร เมื่อก่อนคนที่จะไปเที่ยวเรือสำราญคือไปพักร้อน พักผ่อนได้วันหยุดมาหนึ่งปีมาเที่ยวกันครั้งหรือสองครั้ง เรือสำราญในยุคนั้นก็อยู่ได้แล้ว เพราะว่าพอลูกค้าที่มาเที่ยวตอนนั้นจ่ายค่าโดยสารแพงกว่าตอนนี้มาก และลูกค้าที่มาเที่ยวเมื่อ 10 ปีก่อนโน้นก็คือลูกค้าที่มากินมาเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่มาอยู่มากินแบบประหยัดเหมือนทุกวันนี้ ตอนนี้ตลาดเรือสำราญไม่ได้อยู่ที่หนุ่มสาววัยทำงานหรือคู่ Honeymoon เหมือนเมื่อก่อนพูดง่ายๆก็คือว่าไม่ทันกินแล้ว จึงหันเป้าหมายหลักไปที่คนเกษียณอายุ ก็คือคนแก่ที่ไม่ได้ทำงานแล้ว อยู่บ้านก็เหงาบางคนดูแลตัวเองก็แทบจะไม่ได้ ก็เลยเอาจุดขายตรงนี้มาขายให้ลูกค้ากลุ่มนี้ว่ามาอยู่มากินบนเรือดีกว่าราคาถูกกว่าใช้ชีวิตบนฝังอีก มีคนคอยดูแลทั้งเรื่องอาหารการกิน และที่หลับที่นอน นี่คือจุดเปลี่ยนของเรือสำราญในยุคปัจจุบันและต่อไปในอนาคต พูดมาตั้งนานมีใครจับประเด็นได้หรือเปล่านี่ เอาเป็นว่ามามีส่วนร่วมกันหน่อยดีกว่าเดี๋ยวครั้งต่อไปน้าจะเฉลยว่าประเด็นที่เราต้องพูดกันเรื่องนี้มันคืออะไร เอาเป็นว่าใครคิดออกก่อน หรือใครคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ช่วย post comment ไว้ท้ายบทความนี้ด้วยแล้วเดี๋ยวน้าจะกลับมาเฉลยให้ วันนี้ขอไปทำงานต่อก่อน
เอามาฝากให้ดูกันแก้เหงาเดี๋ยวไม่นานเกินรอภาพทุกภาพจะรวมกันอยู่ที่เดียวจะได้ดูกันให้ตาแฉะไปเลย และก็เหมือนเดิมนะใครที่มีรูปอะไรอยากจะแบ่งปันก็ส่งรูปมาให้ได้เลยตาม e-mail นี้ thaiseaman2009@gmail.com สวยไม่สวยไม่เป็นไรเอามาแบ่งๆกันชม
สวัสดีครับผมพีีน้องชาวเรือครับ ผมน้าชาติเองครับคนเขียนบล็อคนี้ครับผม แต่ว่าตอนนี้น้าไม่ได้ล่องเรือแล้วครับแบบว่ามันถึงจุดที่ว่าต้องหยุดแล้วมั้ง ตอนนีน้าเปิดเว็ปไซต์ครับ และก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก น้ารับประกันอยากให้เข้าไปอ่านดูก่อนน่ะ https://www.facebook.com/300baht.com สโลแกนของเว็ปนี้ก็คือ มีแต่ได้กับได้
ReplyDeleteจะได้อะไร ได้ตอนไหน และได้เท่าไหร่ แค่นั้นเองครับผม
รับประกันความคุ้มค่าโดยน้าชาติ